ดร.กิตติชนม์ อุเทนะพันธุ์ นักวิจัย
เมื่อ20-30ปีก่อน การทำนากุ้งในประเทศไทยบูมมาก โดยเฉพาะจังหวัดที่มีพื้นที่ติดกับชายฝั่งทะเลเลี้ยงกุ้งกันอย่างคึกคัก แต่ในช่วงประมาณเกือบ10ปี การทำนากุ้งซบเซาอย่างหนัก เพราะปัญหาต้นทุน โรคระบาด และราคา ทำให้คนเลี้ยงขาดทุน ปล่อยนากุ้งทิ้งร้างจำนวนมาก
แต่สำหรับพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช ได้พลิกวิกฤติเป็นโอกาส ด้วยการนำนากุ้งมาปรับเป็นพื้นที่เลี้ยงปูขาวแทน ทำให้เกษตรกรลืมตาอ้าปากได้ แต่ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาสนี้ได้ ก็เพราะมีงานวิจัยเข้ามาช่วยสนับสนุน
โครงการ “การขยายผลเทคโนโลยีที่เหมาะสมในการเลี้ยงปูขาวเพื่อยกระดับรายได้เกษตรกรท้องถิ่นลุ่มน้ำปากพนัง” โดย ดร.กิตติชนม์ อุเทนะพันธุ์ และคณะนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย ภายใต้การสนับสนุนทุนวิจัยจาก หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) ดำเนินการในพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นพื้นที่ประสบปัญหาวิกฤติทางเศรษฐกิจจากการล้มเหลวของอุตสาหกรรมการเลี้ยงกุ้ง ส่งผลให้มีบ่อกุ้งร้างจำนวนมากจากการล้มเหลวของการเลี้ยงกุ้ง มากกว่า 44,000 ไร่ และมีพื้นที่นาเปิดที่มีการเลี้ยงปูทะเลแบบเดิมหรือแบบพึ่งพาธรรมชาติ มากกว่า 5,000 ไร่ ซึ่งมีอัตรารอดเพียง 15-20% ทำให้เกษตรกรมีรายได้ไม่แน่นอนและไม่เพียงพอต่อการเลี้ยงชีพ

ตัวโครงการนับว่าเป็นการต่อยอดมาจากโครงการวิจัยปูขาว-นครศรีโมเดล เพื่อการยกระดับเศรษฐกิจฐานรากด้วยห่วงโซ่คุณค่าใหม่บนฐานทรัพยากรพื้นถิ่นนครศรีธรรมราช บนพื้นที่วิจัยบริเวณลุ่มน้ำปากพนัง ครอบคลุม 3 อำเภอคืออำเภอหัวไทร-อำเภอปากพนัง-อำเภอเมือง ที่มุ่งพัฒนาชุดความรู้ในการยกระดับประสิทธิภาพการเลี้ยงปูขาว และยกระดับคุณภาพปูขาวให้ดีขึ้น โดยเพิ่มอัตราการรอดตายและลดต้นทุนการผลิต ตลอดจนการเพิ่มมูลค่าผลิตปูขาวในรูปแบบ food safety ต่อผู้บริโภค โดยไม่ใช้สารเคมีและยาปฏิชีวนะ
ชุดความรู้จากโครงการวิจัยนี้ คือ การปรับปรุงกระบวนการผลิตซึ่งสามารถยกระดับอัตราการรอดตายของปูขาวจากต่ำกว่า 20% เป็น 60 – 80 % หรือมีอัตราการรอดของลูกพันธุ์ปูขนาดใหญ่ระดับ 60% ขณะที่ อัตราการรอดของปูไซส์ตลาดจากปู 5 ซม. อยู่ในอัตรา 80%

นอกจากนี้ยังได้เกิดโมเดลธุรกิจ แบบร่างแผนธุรกิจสำหรับผู้ประกอบการผลิตปูขาวโดยลูกพันธุ์ปูขนาดใหญ่ และมากกว่า 80% สำหรับปูไซส์ตลาดสามารถสร้างรายได้เฉลี่ย 30,000 บาทต่อรอบสำหรับการขุนลูกพันธุ์และ 76,800 บาทต่อรอบสำหรับการเลี้ยงปูไซส์ตลาด แต่ยังคงมีข้อจำกัดในการสร้างผลกระทบเชิงเศรษฐกิจในวงกว้างและขีดความสามารถในการแข่งขันที่ยั่งยืน และมีกลุ่มผู้ประกอบการจำนวน 16 ราย เข้าร่วม ประกอบด้วยผู้ผลิตปูขาว 14 ราย และแพรับซื้อ 2 ราย
วงจรธุรกิจปูขาว มีการผลิต 3 รูปแบบด้วยกัน ได้แก่ 1. การผลิตลูกพันธุ์ปูขาวขนาดใหญ่ 5 ซม. ซึ่งเกษตรกรจะรับซื้อจากประมงจังหวัด จากลูกปูขนาด 0.5 ซม. ที่มีราคาตัวละ 3 บาทและมาเลี้ยงเวลา 45 วัน จนโตขนาด5ซม.ซึ่งจะขายให้กับเกษตรกรที่จะนำไปเลี้ยงต่อในราคาตัวละ 20 บาท .2. ธุรกิจผลิตปูขาวไซส์ตลาดจากลูกพันธุ์ 5ซม.และ 3. ธุรกิจแบบผสมที่ผู้ประกอบการ 1 รายสามารถผลิตทั้งลูกพันธุ์ 5 ซม.
ดร.กิตติชนม์ หัวหน้าโครงการวิจัยฯ กล่าวว่า การเลี้ยงปูขาวของที่นี่ เรียกว่าปลอดสารเคมี เพราะมีการนำจุลินทรีย์ สังเคราะห์แสงมาใช้ในการจัดการบ่อปู ไม่ให้มีโคลนดำ ซึ่งจะทำให้น้ำในบ่อเน่า เพราะแต่ละวันจะต้องให้อาหารปู ซึ่งเป็นปลาหมอคางดำสับ บ่อหนึ่งตกวันละ 10 กก.ซึ่งแน่นอนว่าการมีเศษปลามากขนาดนี้น้ำย่อมเน่า แต่พอใส่จุลินทรีย์ที่เกิดจากการวิจัย 3ชนิด เข้าไป แต่ละชนิดจะทำหน้าที่แตกต่างกัน จุลินทรีย์จะเข้าไปจัดการเศษอาหารของปู ส่วนตัวปูก็จะได้ประโยชน์เพราะได้อาหารที่มีจุลินทรีย์เข้าไป ซึ่งการเลี้ยงแบบนี้ จะลดการใช้ยาและสารเคมี แตกต่างจากการเลี้ยงกุ้ง ที่ต้องใช้ยาปฎิชีวนะเยอะ

“จะเห็นได้ว่าปูที่นี่แกะกระดองออกมาแล้ว นมจะขาวไม่มีขี้โคลนดำๆ เป็นเพราะระบบการจัดการบ่อเลี้ยงไม่ให้ใต้บ่อมีโคลนดำ ๆ ซึ่งเป็นการทำงานของจุลินทรีย์ ส้งเคราะห์แสง ที่เราไปสอนให้ชาวบ้านทำใช้เอง ช่วยลดต้นทุน เพราะถ้าไปซื้อจะมีต้นทุนอีกแบบ”ดร.กิตติชนม์ กล่าว
ผลลัพธ์ที่ได้จากโครงการ รายได้ของผู้ประกอบการธุรกิจปูขาวในพื้นที่ นครศรีธรรมราช เพิ่มขึ้นเฉลี่ยไม่น้อยกว่า 100% เกิดมูลค่าทรัพยากรพื้นถิ่น/ผลิตภัณฑ์ชุมชนเพิ่มขึ้นมากกว่า 200% รวมทุกข้อต่อในชุมชน
“ตอนนี้ ปูขาวขายได้กิโลกรัม 450 บาท แต่มีต้นทุนการเลี้ยงที่กิโลกรัม100 บาท ในหนึ่งบ่อจะจับปูได้ประมาณ 500 กิโลกรัม เทียบกับการเลี้ยงกุ้ง ถ้าลงทุน 1ล้านบาท จะจับได้ 3แสนบาท ส่วนปูลงทุน3แสนจะขายได้ 4.5 แสนบาท ส่วนหนึ่งเพราะปูทนต่อโรคต่างๆมากกว่ากุ้ง แต่ปูทนกับสภาพแวดล้อมไม่ดีไม่ได้ ส่วนกุ้งทนสภาพแวดล้อมแย่ได้ แต่ทนต่อโรคไม่ได้ จึงต้องใช้ยาเยอะ ต้นทุนจึงสูงรวมทั้งเมื่อรวมกับต้นทุนอาหารต่างๆด้วย ขณะที่ปูจะใช้ต้นทุนน้อยกว่า “

ผลจากงานวิจัยดังกล่าว ยังได้ถูกการนำไปใช้ประโยชน์ทางด้านนโยบายอีกด้วย โดยหน่วยงานในจังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งได้แก่ สำนักงานประมงจังหวัด องค์การบริหารส่วนท้องถิ่น และกรมประมง โดยนำข้อมูลชุดความรู้ในการผลิตปูขาว หรือ Standard Operating Procedure-SOPการผลิตปูขาว สำหรับเป็นแนวทางปฏิบัติในการส่งเสริมอาชีพให้แก่เกษตรกรโดยเฉพาะผู้ที่ต้องการปรับใช้นากุ้งทิ้งร้างมาเป็นบ่อเลี้ยงปูขาว หรือสำหรับโครงการส่งเสริมอาชีพในพื้นที่ชายฝั่ง ส่งเสริมและสอดคล้องกับแนวทางการกำหนดปูขาวเป็นสัตว์เป้าหมายของกรมประมงในการส่งเสริมอาชีพโดยเน้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช มีแนวทางในการกำหนดมาตรฐานและแนวปฏิบัติในระดับจังหวัด หรือข้อมูลส่วนกลางที่ควบคุมโดยกรมประมง
ในปีงบประมาณ 2568 ได้รับการต่อยอดดำเนินงานภายใต้ “โครงการขยายผลเทคโนโลยีที่เหมาะสมในการเลี้ยงปูขาวเพื่อยกระดับรายได้เกษตรกรท้องถิ่นลุ่มน้ำปากพนัง” โดยการสนับสนุนทุนวิจัยจาก บพท. กรอบการวิจัย “การขยายผลวิจัยเทคโนโลยีที่เหมาะสม (Appropriate Technology) เพื่อยกระดับรายได้ครัวเรือนและยกระดับเศรษฐกิจฐานราก โดยยังคงดำเนินการต่อเนื่องในบริเวณลุ่มน้ำปากพนังครอบคลุมพื้นที่ใน อ.หัวไทร อ.ปากพนัง และ อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช โดยมีกลุ่มเป้าหมายรวม 120 ครัวเรือน เป็นเกษตรกรแม่ข่าย 16 ครัวเรือน และเกษตรกรลูกข่าย 104 ครัวเรือน (กลุ่มหัวไทร 49 ครัวเรือน กลุ่มปากพญา 55 ครัวเรือน กลุ่มปากพูน 16 ครัวเรือน) โดยตั้งเป้าหมายยกระดับรายได้ให้สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 60,000 บาทต่อปี
อาชีพเลี้ยงปู ผลิตปู ยังมีอนาคตอีกยาวไกล ดร.กิตติชนม์ บอกว่า ปัจจุบันจ.นครศรีธรรมราช เป็นแหล่งผลิตปูที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ มีมูลค่าการตลาด 600 ล้านบาทต่อปี รองลงมาเป็นจ.ระนอง ขณะที่ทั้งประเทศผลิตปูได้ปีละ 4พันตัน แต่มีความต้องการปูมากถึง 1.2หมื่นตัน/ปี ปูในประเทศจึงไม่เพียงพอต่อความต้องการ ทำให้ต้องมีการนำเข้าปูอัตราส่วน 60 % ของความต้องการทั้งหมด โดยเป็นการนำเข้าจากประเทศ เวียดนาม พม่า บังคลาเทศ ที่ไม่นิยมกินปู ดังนั้น จึงมีโอกาสอีกมากสำหรับตลาดปู ขณะที่ปัจจุบัน เรามีนากุ้งทิ้งร้างอีก 44,000 ไร่ ที่สามารถนำมาทำเป็นบ่อเลี้ยงปูได้ จึงเป็นโอกาสที่จะนำมาเลี้ยงปู รองรับความต้องการปูในตลาดที่มีจำนวนมหาศาล
นักวิจัยรายนี้ กล่าวอีกว่า การผลักดันของภาครัฐ และฝ่ายวิชาการ ที่สำคัญในขณะนี้ ก็คือ การทำระบบแม่ข่าย-ลูกข่าย โครงการฯ สร้างระบบเครือข่ายที่เชื่อมโยงเกษตรกร ในรูปแบบเครือข่ายการเรียนรู้และถ่ายทอดเทคโนโลยีแบบชุมชนขับเคลื่อน (Community-Driven Technology Transfer) โดยแบ่งการดูแลเป็นกลุ่มย่อย ประกอบด้วยเกษตรกรผู้มีประสบการณ์ ประสบความสำเร็จจากโครงการปูขาว-นครศรีโมเดลฯ (LE 67) ทำหน้าที่เป็นผู้นำกลุ่ม ผลิตลูกปูพันธุ์ (เแม่ข่าย) รวมถึงให้คำแนะนำและดูแลเกษตรกรในกลุ่ม หรือผู้เลี้ยงปูขนาดตลาดขนาดจำหน่าย (ลูกข่าย) ช่วยให้เกิดการถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีอย่างเป็นระบบ ซึ่งระบบเครือข่ายนี้ สร้างการเรียนรู้แบบเพื่อนช่วยเพื่อน ลดช่องว่าง ทำให้การถ่ายทอดเทคโนโลยีมีประสิทธิภาพ รวมถึงเป็นการสร้างห่วงโซ่อุปทานเชื่อมโยง (Supply Chain Integration) ระหว่างผู้ผลิตลูกพันธุ์สู่ผู้เลี้ยงปูขนาดตลาด

ณัฏฐชัย นาคเกษม เป็นตัวอย่างเกษตรกรที่ประสบความสำเร็จจากการเลี้ยงปู ที่เคยล้มเหลวจากการทำนากุ้งมาแล้ว เป็นหนี้เป็นสินหลายล้านบาท ปล่อยนากุ้งทิ้งร้างหลายปี และพอดีมาเจอกับการระบาดของโควิดด้วย แต่ต่อมาเข้าร่วมโครงการวิจัย ปัจจุบันขายปูได้เป็นกอบเป็นกำ แม้หนี้สินที่มีต่อธนาคารเกษตรและสหกรณ์การเกษตร จะยังไม่หมด แต่มีรายได้มาต่อยอดธุรกิจเลี้นยงปู ซื้อพื้นที่ใกล้เคียงมาทำบ่อปูได้ เพิ่มพื้นที่จาก 12 ไร่ เป็น 27 ไร่ ปัจจุบัน เกษตรกรรายนี้เปิดพื้นที่บ้านเป็นศูนย์การเรียนรู้ชลประทานน้ำเค็มเพื่อการผลิตปูขาวบ้านเนินหนองหงส์ อ.หัวไทร จ.นครศรีธรรมราช
“ผมปลดหนี้ที่เคยมี 6-7 ล้าน ลดหนี้ลงได้ 20% ถามว่าทำไมยังปลดหนี้ไม่ได้ทั้งหมด ก็เพราะต้องนำรายได้ส่วนหนึ่งมาต่อยอดธุรกิจ ซึ่งดีมาก ดีกว่าการเลี้ยงกุ้งเยอะ”เกษตรกรรายนี้กล่าว