‘สพฐ.’ ยกระดับการสอนภาษาจีน ใช้เอไอ เสริมการประเมินทั่วประเทศ พร้อมกำชับ 16 เขตพื้นที่ชายแดนเฝ้าระวังเข้ม-เพิ่มรายงานสถานการณ์วันละ 2 ครั้ง
เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน นายพิเชฐร์ วันทอง รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมผู้บริหาร สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้เน้นย้ำข้อสั่งการตามนโยบายของศธ. และ สพฐ. เพื่อให้ผู้บริหารและบุคลากรดำเนินการขับเคลื่อนอย่างเร่งด่วน โดยในที่ประชุมได้รายงานความก้าวหน้าภารกิจสำคัญด้านคุณภาพการศึกษา และความร่วมมือระหว่างประเทศ โดยหนึ่งในประเด็นสำคัญคือการเข้าร่วมประชุม World Chinese Language Conference 2025 ณ กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งนายพิเชฐ โพธิ์ภักดี ได้กล่าวปาฐกถาเรื่อง “โอกาสและความท้าทายของการประเมินผลภาษาจีนด้วยระบบอัจฉริยะ AI” พร้อมชี้ถึงบทบาทของเทคโนโลยีต่อการพัฒนาการวัดและประเมินผลในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน และมองว่า AI จะเข้ามาเป็นเครื่องมือเสริม ไม่ได้มาแทนที่ครู และเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาระบบการเรียนรู้แบบผสมผสานตามนโยบายกระทรวงศึกษาธิการในการยกระดับผู้เรียนสู่มาตรฐานสากล
นายพิเชฐร์ กล่าวต่อว่า อีกทั้ง สพฐ. ยังเดินหน้ายกระดับการเรียนการสอนภาษาจีน โดยใช้มาตรฐาน HSK และ YCT ในการพัฒนาหลักสูตร การวัดผล และการพัฒนาครู รวมถึงส่งเสริมทั้งห้องเรียนทั่วไป (GCC) ที่เรียนภาษาจีนเป็นรายวิชาเพิ่มเติมและเน้นทักษะสื่อสารพื้นฐาน และห้องเรียนพิเศษภาษาจีน (CP) ที่ใช้ภาษาจีนสอนวิชาคณิตศาสตร์/วิทยาศาสตร์ เตรียมพร้อมศึกษาต่อและการประกอบอาชีพ โดยเน้นพัฒนาทักษะการฟัง พูด อ่าน เขียน และสามารถใช้ AI เข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการประเมินได้ โดยเฉพาะด้านการออกเสียง ความคล่องแคล่ว และการปรับข้อสอบตามระดับผู้เรียน และยังมีศึกษานิเทศก์ให้การสนับสนุน ครอบคลุมทั้ง 245 เขตทั่วประเทศ
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังรายงานสถานการณ์ตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชา โดย สพฐ. กำชับการเตรียมความพร้อมด้านความปลอดภัย การสนับสนุนทรัพยากร และการปฏิบัติตามแผนเผชิญเหตุ ขณะที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาชายแดน 7 จังหวัดได้สะท้อนความต้องการเร่งด่วน เช่น งบประมาณตั้งศูนย์พักพิง การบริหารอาหารกลางวันช่วงปิดภาคเรียน การซ่อมแซมอาคารเรียน การเรียนทางไกล การเตรียมหลุมหลบภัย และการดูแลด้านสภาพจิตใจแก่ผู้ได้รับผลกระทบ
พร้อมกันนี้ สพฐ. ได้จัดทำระบบรายงานสถานศึกษาที่ได้รับผลกระทบ ให้เขตพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชาทั้ง 16 แห่ง ใช้งานได้อย่างถูกต้องและทันต่อเวลา โดยกำหนดให้รายงานข้อมูลวันละ 2 ครั้ง ในช่วงเช้า เวลา 09.00 น. และช่วงบ่าย เวลา 15.00 น. รวมถึงตั้งไลน์กลุ่มประสานงานเพื่อให้การติดตามสถานการณ์เป็นไปอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง