NetApp กางไลน์อัพโซลูชั่นใหม่ รับยุค AI เปลี่ยนเกมธุรกิจ
GH News November 20, 2025 09:00 AM

ในยุคที่ AI มีบทบาทกับการทำธุรกิจทุกภาคส่วน โครงสร้างพื้นฐานที่อยู่เบื้องหลังการประมวลผลทั้งหมด จำเป็นต้องได้รับการปรับปรุงให้ทันสมัย เพื่อรองรับเวิร์กโหลดที่มากขึ้นในอนาคต และเสริมความปลอดภัยของระบบหลังบ้าน

เมื่อเดือน ต.ค. ที่ผ่านมา “เน็ตแอป” (NetApp) ผู้ให้บริการโซลูชั่นโครงสร้างพื้นฐานข้อมูลอัจฉริยะ (Intelligent Data Infrastructure) จัดงาน INSIGHT 2025 เพื่อนำเสนอโซลูชั่นใหม่ มุ่งเน้นใน 2 ประเด็นหลัก คือการเร่งนำ AI มาใช้ในระดับองค์กร และการเสริมความยืดหยุ่นทางไซเบอร์ด้วยคุณสมบัติด้านความปลอดภัย ได้แก่

นวัตกรรมด้าน AI และแพลตฟอร์มข้อมูล

1.NetApp AFX Disaggregated Storage System

โซลูชั่นจัดเก็บข้อมูลแบบ All-Flash ระดับองค์กรที่ออกแบบมาเพื่อรองรับการทำงานของ AI Workloads ที่ต้องการประสิทธิภาพสูง ทำหน้าที่เป็นรากฐานด้านข้อมูลอันทรงพลังสำหรับ AI factories และด้วยสถาปัตยกรรมแบบ Disaggregated NetApp ONTAP ที่แยกการทำงานด้านประสิทธิภาพออกจากความจุ ทำให้ NetApp AFX สามารถเพิ่มสมรรถนะได้อย่างยืดหยุ่นและทรงพลัง

นอกจากนี้ ระบบดังกล่าวยังได้รับการรับรองให้ใช้ร่วมกับซูเปอร์คอมพิวติ้ง NVIDIA DGX SuperPOD และได้รับการออกแบบให้สามารถขยายประสิทธิภาพการทำงานได้อย่างต่อเนื่อง (linear performance scaling) ไปจนถึงระดับ exabyte-scale พร้อมความเร็วในการรับส่งข้อมูลสูงสุดในระดับเทราไบต์ต่อวินาที

2.NetApp AI Data Engine (AIDE)

บริการ AI Data ที่มั่นคงปลอดภัย และรวมศูนย์ โดย AIDE ถูกผนวกเข้ากับการออกแบบอ้างอิงระบบ NVIDIA AI Data Platform ช่วยให้องค์กรสามารถจัดการกระบวนการข้อมูลของ AI ทั้งหมดได้อย่างง่ายดายและปลอดภัยยิ่งขึ้น อีกทั้งยังช่วยเร่งการทำงานของ AI ในองค์กร เช่น Retrieval Augmented Generation (RAG) และการประมวลผลเชิงอนุมาน (inference) ได้อย่างมีนัยสำคัญ

นอกจากนี้ยังสามารถตรวจจับและซิงโครไนซ์การเปลี่ยนแปลงของข้อมูลโดยอัตโนมัติ พร้อมทั้งมีมาตรการป้องกันภายในตัวเพื่อรับประกันความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของข้อมูลตลอดวงจรการใช้งาน AI

3.การเชื่อมต่อคลาวด์ที่ไร้รอยต่อ

ฟีเจอร์ใหม่ ๆ เช่น Object API สำหรับ Azure Data & AI Services และ Enhanced Unified Global Namespace ช่วยให้องค์กรไทยสามารถเชื่อมต่อข้อมูล ทั้งในองค์กรและบนคลาวด์เข้ากับบริการอย่าง Azure OpenAI และ Microsoft Fabric ได้โดยตรง โดยไม่จำเป็นต้องย้ายหรือสร้างสำเนาข้อมูล

การเสริมความยืดหยุ่น และความปลอดภัยทางไซเบอร์

1.ระบบตรวจจับการละเมิดข้อมูลเจ้าแรกในอุตสาหกรรม

ปัจจุบัน NetApp Ransomware Resilience ได้เพิ่มฟีเจอร์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ที่สามารถตรวจจับพฤติกรรมผู้ใช้งาน และพฤติกรรมของระบบไฟล์ที่ผิดปกติ ซึ่งเป็นสัญญาณเบื้องต้นของความพยายามในการขโมยข้อมูล การตรวจจับความพยายามละเมิดเหล่านี้ได้ล่วงหน้าจะช่วยให้ลูกค้า NetApp สามารถป้องกันการโอนข้อมูลสำคัญโดยไม่ได้รับอนุญาต และหยุดภัยคุกคามทางไซเบอร์ ก่อนที่จะเกิดความเสียหายหรือการเปิดเผยข้อมูลจำนวนมากได้

2.สภาพแวดล้อมการกู้คืนแบบแยกส่วน (Isolated Recovery Environments : IREs)

ฟีเจอร์ใหม่ที่จะช่วยให้การกู้คืนงานสำคัญเป็นไปอย่างปลอดภัยและปราศจากมัลแวร์ โดย IREs ใช้เทคโนโลยี AI ขั้นสูงเฉพาะของ NetApp ในการสแกนข้อมูลอย่างละเอียด เพื่อตรวจจับข้อมูลที่ได้รับผลกระทบจากมัลแวร์อย่างแม่นยำ ช่วยแนะนำลูกค้าให้สามารถกู้คืนข้อมูลล่าสุดที่ปลอดภัยได้อย่างรวดเร็ว และป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำอีก

3.ระบบป้องกันที่ใช้ AI ซึ่งติดตั้งมาในตัวระบบ

การเสริมประสิทธิภาพเหล่านี้ช่วยเติมเต็มความสามารถของ NetApp ONTAP Autonomous Ransomware Protection with AI (ARP/AI) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ได้รับรางวัล โดยเทคโนโลยีดังกล่าวได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการตรวจจับการโจมตีของแรนซัมแวร์ขั้นสูงได้ถึง 99% โดยไม่มีผลบวกปลอม (Zero False Positives) เลยแม้แต่ครั้งเดียว

อรรณพ วาดิถี
อรรณพ วาดิถี

“อรรณพ วาดิถี” ผู้จัดการประจำ NetApp ประเทศไทย กล่าวว่า นวัตกรรมเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อประเทศไทย เนื่องจากจะช่วยให้ภาคธุรกิจไทยสามารถนำ AI มาใช้ในทางปฏิบัติได้อย่างมั่นใจ พร้อมทั้งเสริมศักยภาพในการป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่ซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนการขยายการใช้ AI ตามกรอบนโยบาย Thailand 4.0

ขณะเดียวกันประเทศไทยยังได้อนุมัติงบลงทุนมูลค่าสูงถึง 2.5 หมื่นล้านบาท (คิดเป็นประมาณ 774 ล้านเหรียญสหรัฐ) ตลอดระยะเวลาสองปีงบประมาณ สะท้อนว่าต้องการเร่งการพัฒนา AI และบรรลุความเป็นผู้นำในระดับภูมิภาค

“ความมุ่งมั่นด้านดิจิทัลของประเทศได้ทำให้ AI กลายเป็นหนึ่งในลำดับความสำคัญระดับชาติ สำหรับองค์กรที่ต้องการขยายการใช้งาน AI ให้ครอบคลุมทุกกระบวนการดำเนินงานนั้น ความสำเร็จจะขึ้นอยู่กับรากฐานข้อมูลที่มั่นคงและเป็นหนึ่งเดียว ซึ่งจะเอื้อต่อการปรับใช้ระบบอย่างรวดเร็วและการกำกับดูแลข้อมูล”

“อรรณพ” กล่าวด้วยว่า ขณะที่ประเทศไทยกำลังเร่งขับเคลื่อนวิสัยทัศน์ด้านดิจิทัลอย่างเต็มที่ กลับต้องเผชิญปัญหาภัยคุกคามทางไซเบอร์ โดยเฉพาะการแพร่กระจายของ Ransomware-as-a-Service (RaaS) ที่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ผู้ก่ออาชญากรรมสามารถเข้ามาสร้างการโจมตีทางไซเบอร์ที่ซับซ้อนได้ง่ายขึ้น โดยช่วงต้นปี 2025 ประเทศไทยเผชิญกับเหตุการณ์ทางไซเบอร์ไปแล้วกว่า 1,000 ครั้ง เช่น การรั่วไหลของข้อมูล การโจมตีแบบ DDoS และแรนซัมแวร์

“ความสามารถในการรับมือกับภัยคุกคามทางไซเบอร์มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อการรักษาเสถียรภาพและความเชื่อมั่นทางธุรกิจ เชื่อว่าแพลตฟอร์มเหล่านี้จะมีบทบาทสำคัญต่อองค์กรไทยในการสนับสนุนวิสัยทัศน์ระดับชาติ ผ่านการมอบรากฐานที่ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพสูง ซึ่งจำเป็นต่อการใช้งาน AI ที่มีแนวโน้มมากขึ้นเรื่อย ๆ”

© Copyright @2025 LIDEA. All Rights Reserved.