สิงห์ เอสเตท ภายใต้การนำของ ชัยรัตน์ ศิวะพรพันธ์ เปิดทิศทางการขับเคลื่อน 4 แกนหลักสร้างสมดุลธุรกิจ มุ่งสร้างคุณค่าที่ยั่งยืนท่ามกลางเศรษฐกิจที่ท้าทาย ตอกย้ำการเติบโตบนรากฐานที่มั่นคงและแข็งแกร่ง
นายชัยรัตน์ ศิวะพรพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ S เปิดเผยว่าตลอดหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมา สิงห์ เอสเตท ได้พัฒนาองค์กรสู่การเติบโตในมิติของรายได้และการขยายทรัพย์สินใน 4 ธุรกิจหลัก
ล่าสุดกำลังก้าวเข้าสู่บทใหม่ของการขับเคลื่อนธุรกิจ ที่มุ่งเน้นการวางรากฐานของความมั่นคงทางธุรกิจ ความแข็งแกร่งในการจัดหาเงินทุน และการเตรียมความพร้อมของบุคลากร เพื่อพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
ภายใต้ยุทธศาสตร์ ‘A Stable Foundation Drives Sustainable Growth’ โดยได้วาง ‘4S’ เป็นแกนหลักในการขับเคลื่อนองค์กร Stability, Strength, Synergy และ Sincerity เพื่อสร้างสมดุลให้ธุรกิจ และมุ่งมั่นพัฒนาองค์กรสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน
สำหรับ Stability แกนการบริหารธุรกิจ เพื่อสร้างธุรกิจที่มั่นคงและสมดุล จาก 4 ธุรกิจหลัก โดยแบ่งรายได้เป็น 2 ประเภท ได้แก่ ประเภทที่มีรายได้แบบประจำ จากธุรกิจโรงแรมและอาคารสำนักงาน และประเภทที่มีรายได้แบบไม่ประจำ จากธุรกิจที่พักอาศัยและนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งรายได้แต่ละประเภทเหมาะสมกับสภาวะเศรษฐกิจที่แตกต่างกัน บริษัทจึงให้ความสำคัญกับการบริหารความสมดุลของรายได้ทั้งสองประเภท
โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจเผชิญความท้าทายในปัจจุบัน การจัดพอร์ตโฟลิโอธุรกิจประเภทรายได้แบบประจำถือเป็นภารกิจสำคัญอันดับแรก เพื่อสร้างฐานกำไรที่มั่นคง ช่วยหนุนผลประกอบการโดยรวม และฐานกำไรของธุรกิจนี้ยังเป็นกันชนสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจอื่น ขณะเดียวกันการกำหนดเป้าหมายชัดเจนของแต่ละธุรกิจยังมีส่วนสนับสนุนให้ผลการดำเนินงานและภาพรวมทางการเงินของบริษัทเติบโตอย่างมีเสถียรภาพ
สำหรับธุรกิจที่สร้างรายได้แบบไม่ประจำ โดยลักษณะการลงทุนแล้วมีระยะเวลาการลงทุนและการรับผลตอบแทนที่สั้นกว่า ดังนั้น โครงการที่จะลงทุนควรมีความยืดหยุ่นตามสภาวะเศรษฐกิจ และต้องมองเห็นโอกาสแม้ในช่วงเวลาที่ท้าทาย เช่น โครงการคอนโดมิเนียมริมแม่น้ำ ONE RIVER พระราม 3 คอนโดหรูสูง 33 ชั้น ริมเจ้าพระยา
ที่ถูกพัฒนาขึ้นโดยสิงห์ เอสเตท ด้วยการจับมือ วัน เรียลเอสเตท ร่วมกันพัฒนา ซึ่งปัจจุบันมียอดขายกว่า 90% ซึ่งนับเป็นปีที่ท้าทายของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีการเปิดโครงการใหม่จำนวนมาก จึงเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่สะท้อนว่าพันธมิตรทางธุรกิจและการมองหาโอกาสท่ามกลางสภาวะตลาดที่ท้าทาย เป็นกุญแจสำคัญของการเติบโตในธุรกิจประเภทนี้
ดังนั้นทิศทางการเติบโตของธุรกิจนี้ จะมุ่งเน้นไปที่การหาผู้ร่วมลงทุนเพื่อต่อยอดเชิงธุรกิจ จากความชำนาญเฉพาะทางของแต่ละฝ่ายที่สามารถเกื้อหนุนกันได้ ในเชิงการเงินก็ช่วยเสริมความแข็งแกร่งและลดความเสี่ยงซึ่งกันและกัน
ในด้าน Strength แกนการบริหารการเงิน เพื่อสร้างความแข็งแกร่ง ในช่วงปีที่ผ่านมาบริษัทมีความสามารถในการระดมทุนทั้งจากเงินกู้ธนาคารและการออกจำหน่ายหุ้นกู้ รวมกว่า 10,000 ล้านบาทต่อปี โดยมีสัดส่วนเงินกู้ต่อหุ้นกู้ที่อัตรา 80:20 จุดเด่นที่ทำให้บริษัทได้รับความไว้วางใจจากทั้งธนาคารและนักลงทุนในหุ้นกู้ คือระเบียบวินัยทางการเงิน และการบริหารความสัมพันธ์ที่หลากหลายกับผู้ให้เงินทุน ในด้านเงินกู้ธนาคาร บริษัทมีเครือข่ายสถาบันการเงินที่ให้การสนับสนุนมากกว่า 10 แห่ง จากความเชื่อมั่นในศักยภาพของกลุ่มบริษัท ความเชื่อมั่นในโครงการที่พัฒนา และความสามารถในการชำระเงินต้นและดอกเบี้ย ซึ่งบริษัทได้พิสูจน์ให้เห็นแล้ว แม้ในช่วงเวลาที่ท้าทายที่สุด เช่น ช่วงวิกฤตโควิด-19
เช่นเดียวกันกับตลาดหุ้นกู้ แม้บริษัทจะเริ่มจัดจำหน่ายหุ้นกู้ได้เพียง 4 ปี แต่ก็สามารถระดมเงินทุนจากตลาดได้แล้ว กว่า 10,000 ล้านบาท เป็นผลจากความไว้วางใจที่ผู้ลงทุนมีต่อบริษัท บริษัทมุ่งเน้นการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ในแต่ละปีอย่างมีแบบแผน โดยคำนึงถึง 3 ปัจจัยหลัก คือ
1.จำนวนเงินที่ออกจำหน่ายต้องมีความเหมาะสม สร้างความน่าเชื่อถือในการชำระคืน
2.อัตราดอกเบี้ยที่กำหนดมีความเหมาะสมกับความเสี่ยงที่ผู้ถือหน่วยได้รับ และเหมาะสมกับสภาวะตลาด
3.การรักษาช่องทางการจัดจำหน่ายที่หลากหลาย เพื่อเข้าถึงทั้งลูกค้าธนาคารและบริษัทหลักทรัพย์
ทั้งนี้ ช่องทางการระดมทุนจากทั้งธนาคารและหุ้นกู้มีความเหมาะสมกับสภาวะเศรษฐกิจที่แตกต่างกัน การรักษาสมดุลของการระดมทุนผ่านทั้ง 2 ช่องทางจึงเป็นกุญแจสำคัญสู่การสร้างความแข็งแกร่งทางการเงิน โดยในเบื้องต้นบริษัทวางเป้าหมายสัดส่วนเงินกู้ธนาคารต่อหุ้นกู้ที่ 70:30 นอกจากนี้ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งด้านระเบียบวินัยทางการเงิน แม้แต่ละหน่วยธุรกิจจะไม่มีบทบาทโดยตรงในการจัดหาเงินทุน แต่ผู้บริหารของแต่ละหน่วยธุรกิจมีเป้าหมายในการรักษาอัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญของหน่วยธุรกิจ เช่น อัตราส่วนหนี้สินต่อกำไร เพื่อให้ภาพรวมของบริษัทสามารถรักษาเสถียรภาพ และมุ่งสู่การปรับอันดับความน่าเชื่อถือให้ดีขึ้นในอนาคต
ขณะที่ Synergy ในแกนการบริหารคน เปิดรับความคิดเห็นคนรุ่นใหม่ ซึ่งปัจจุบันบุคลากรของสิงห์ เอสเตท กว่า 60% ของพนักงานทั้งหมด อยู่ใน Generation Y และ Z ซึ่งเกือบครึ่งหนึ่งอยู่ในระดับผู้จัดการขึ้นไป จากทั้ง 2 ปัจจัยนี้ จึงมีบทบาทสำคัญในการวางแผนการบริหารจัดการคน เพื่อสอดคล้องกับการวางรากฐานของธุรกิจที่มั่นคง คือ 1)ให้พนักงานใน Generation ใหม่ได้มีส่วนร่วมในการวางแผน กำหนดทิศทาง และดำเนินธุรกิจของบริษัท และ 2) ให้โครงสร้างองค์กรปรับเปลี่ยนเป็นทรงพีระมิด คือให้โอกาสพนักงานที่มีประสบการณ์ได้เติบโตขึ้นมาเป็นหัวหน้างาน ในขณะเดียวกันองค์กรก็เติมคนรุ่นใหม่เข้ามาเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการทำงาน
ทั้งนี้ผู้บริหารที่มีประสบการณ์ยาวนานก็จำเป็นต้องปรับตัวตามสภาพการณ์ปัจจุบัน ดังนั้นประสบการณ์ของคนทำงานรุ่นพี่จึงเปรียบได้กับโครงสร้างหรือแกนกระดูกที่มีส่วนสำคัญในการเป็นหลักยึดคนในองค์กรไว้ด้วยกัน มองเห็นปัญหา ความเสี่ยง และมีแนวทางป้องกันโดยอาศัยประสบการณ์ การทำงานอันยาวนาน ส่วนไอเดียของคนรุ่นใหม่เปรียบได้กับล้อรถ ฟันเฟือง เทคโนโลยี หรืออุปกรณ์แกดเจ็ตต่างๆ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นจุดขาย และเป็นปัจจัยสู่ความสำเร็จของการทำธุรกิจในยุคปัจจุบันที่มีความหลากหลายมากขึ้น
“ตัวอย่างเช่น การทำโครงการที่พักอาศัย 1 โครงการ ในภาวะปัจจุบัน บริษัทไม่ได้โฟกัสที่การตีตลาด 1 แสนล้านบาท เพื่อให้คนทั้งหมดชื่นชอบผลิตภัณฑ์ของเรา หากแต่อยู่ที่ว่าเราสามารถออกแบบผลิตภัณฑ์ให้ตรงใจลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย 40 – 50 คนนั้นได้หรือไม่ ดังนั้น ไอเดียจากคนรุ่นใหม่จึงมีส่วนสำคัญในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายดังกล่าว หน้าที่ของบริษัท คือการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อให้คนกลุ่มนี้กล้าคิด กล้าทำ และกล้าแสดงความคิดเห็น ผู้บริหารในยุคก่อนจึงควรเริ่มคำตอบ ซึ่งจะนำไปสู่คำตอบทางธุรกิจที่เหมาะสมที่สุด”
นายชัยรัตน์ กล่าวและว่า สำหรับโครงสร้างองค์กรของบริษัท การตอบโจทย์การทำงานของคนรุ่นใหม่ นอกจากการมีพื้นที่ให้แสดงความคิดเห็นแล้ว ปัจจัยเรื่องความก้าวหน้าทางอาชีพก็เป็นองค์ประกอบสำคัญต่อการตัดสินใจอยู่ร่วมงานกับองค์กร ดังนั้น การปรับรูปแบบโครงสร้างองค์กรให้ออกเป็นรูปทรงพีระมิด กล่าวคือ หากตำแหน่งบริหารขององค์กรว่างลง
การหาบุคลากรทดแทน อาจเป็นบุคลากรในระดับปฏิบัติการก็เป็นได้ เพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ในองค์กรได้มีความก้าวหน้าในสายอาชีพ การปรับเปลี่ยนดังกล่าวอาจไม่เห็นผลสำเร็จในระยะสั้น แต่มีความจำเป็นในระยะยาว หากเราต้องการสร้างฐานบุคลากรคนรุ่นใหม่ ซึ่งมีสัดส่วนกว่า 60% ของบริษัท ให้เป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจอย่างยั่งยืน
นอกจากนี้ Sincerity แกนการบริหารจัดการความยั่งยืน ความจริงใจต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม ซึ่งสิงห์ เอสเตท ให้ความสำคัญในการบริหารจัดการ ESG คือการขับเคลื่อนควบคู่ไปกับการเติบโตทางธุรกิจที่เป็นรูปธรรมและเห็นผลได้จริง ไม่มุ่งเน้นการทำกิจกรรมเพื่อสร้างภาพลักษณ์