วิกฤตหนัก! ยอดเด็ก ‘วิทย์–ฟู้ดไซน์’ ลดฮวบ ‘ราชภัฏ’ หนักสุดจ่อปิดสาขา มหาวิทยาลัยห่วงขาดทุน อว.เร่งหาแนวทางหนุนเด็กเรียนสายนี้มากขึ้น
นายศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เปิดเผยว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ได้เชิญอาจารย์ผู้สอนสาขาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี โดยเฉพาะกลุ่มสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องกับการเกษตรและอาหาร ในมหาวิทยาลัยราชภัฏมาหารือ เพื่อวางแนวทางสร้างแรงจูงใจให้เด็กในใจเรียนในสาขาเหล่านี้มากขึ้น
เนื่องจากที่ผ่านมา พบว่า จำนวนเด็กที่เรียนในสาขาเหล่านี้ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และมีแนวโน้มที่จะถูกปิด ซึ่ง อว.เองค่อนข้างไม่เห็นด้วย เพราะสาขาเหล่านี้มีความจำเป็นต่อการพัฒนาประเทศ ทั้งนี้ มรภ. ถือว่ามีบทบาทสำคัญ ในการผลิตกำลังคนให้สอดรับกับเศรษฐกิจของประเทศ และหาก มรภ.บอกว่า ตัวเองเป็นมหาวิทยาลัยเพื่อพัฒนาพื้นที่ แต่กลับไม่สามารถผลิตคนเพื่อยกระดับเศรษฐกิจของพื้นที่ได้จริง ก็เป็นเรื่องที่น่ากังวล
“ปัจจุบันพบว่า มีผู้เรียนในสาขาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีน้อยลง โดยเฉพาะกลุ่ม มรภ. ที่มีปัญหาหนักบางมหาวิทยาลัยถึงขั้นปิดตัว เช่น สาขาฟู้ดไซน์ หรือวิทยาศาสตร์การอาหาร ซึ่ง อว.ค่อนข้างไม่เห็นด้วย เพราะอุตสาหกรรมเกษตร และอาหาร ถือว่ามีความสำคัญต่อประเทศ ซึ่ง มรภ. มีบทบาทสำคัญ ในการผลิตกำลังคนให้สอดรับกับเศรษฐกิจและความต้องการของประเทศ อย่างไรก็ตามที่ผ่านมา ยังมีความเข้าใจผิดว่า มรภ. ควรมุ่งผลิตคนเพื่อเข้าไปช่วยพัฒนาท้องถิ่นเท่านั้น แต่ในความเป็นจริง บทบาทสำคัญของมรภ. ควรผลิตคนให้สอดรับกับเศรษฐกิจของท้องถิ่นด้วย เช่น เกษตรและอาหาร ซึ่งขณะนี้มีผู้เรียนน้อยลง
ดังนั้น เมื่อเร็ว ๆ นี้ผมจึงเชิญอาจารย์ สายวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะสาขาฟู้ดไซน์ มาพูดคุยว่าจะทำอย่างไรให้เด็กสนใจมาเรียนในสาขาดังกล่าวมากขึ้น จากเดิมที่เด็กจะไปสนใจไปเรียนในสาขาที่ไม่สอดคล้องกับความต้องการ ขณะที่สาขาที่มีความจำเป็นกลับมีผู้สนใจเรียนน้อย ทั้งที่เรียนจบแล้วมีงานทำแน่นอน” ปลัดอว.กล่าว
ปลัด อว. กล่าวต่อว่า นโยบายอย่างหนึ่งที่ได้ย้ำไปกับทาง มรภ. คือไม่อยากให้ปิดสาขาวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี ที่มีความจำเป็นต่อพื้นที่ เช่น สาขาเกษตร และอาหาร ต่อให้ไม่มีคนเรียนก็อย่าเพิ่งปิด โดยปีการศึกษา 2569 อว.จะพยายามสนับสนุนให้เด็กหันมาเรียนสาขาเหล่านี้มากขึ้น
ขณะเดียวกัน จะมีการพัฒนาอาจารย์ผู้สอน ทั้งเรื่องการเรียนการสอน เทคโนโลยี การใช้เอไอทางด้านอาหารสมัยใหม่ รวมถึงจะมีการปรับหลักสูตรให้ทันสมัย สิ่งสำคัญที่สุดคือ จะทำอย่างไรให้เด็กมีทัศนคติที่อยากจะเรียนสาขาเหล่านี้ ซึ่ง อว.อาจจะปรับวิธีการให้ทุนการศึกษา รวมถึงจะเริ่มทำบูทแคมป์ เรื่องเกษตรและอาหาร ตั้งแต่ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย เพื่อให้เด็กได้สัมผัสกับอาชีพเกษตรกรรมสมัยใหม่ หรือสมาร์ทฟาร์มเมอร์ หรือการเป็นนักโภชนาการ เพื่อสร้างแรงจูงใจ
“ปัญหาเด็กเรียนวิทยาศาตร์ เทคโนโลยี โดยเฉพาะ สาขาฟู้ดไซน์ และเกษตรน้อยนั้น มีแทบทุกมหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยใหญ่ ๆ ก็มีผู้เรียนน้อยลง แต่ก็ยังไม่รุนแรงเท่ามรภ.ซึ่งพบว่า แทบทุกแห่ง มีเด็กเรียนสาขาเหล่านี้น้อยมาก มหาวิทยาลัย จึงมีนโยบายให้ปิดตัว เพื่อลดต้นทุน ดังนั้น อว.จึงมีนโยบาย ไปยังที่ประชุมอธิการบดีมรภ. ขอให้คงการเรียนการสอนสาขาเหล่านี้ไว้ก่อน เพราะรัฐลงทุนโครงสร้างพื้นฐานไปค่อนข้างมาก
ดังนั้นทางแก้จึงต้องมาดูว่าจะทำอย่างไรให้เด็กหันมาเรียนสาขาเหล่านี้เพิ่มมากขึ้น เป็นหน้าที่ที่อว. และมหาวิทยาลัยจะต้องช่วยกันสร้างแรงใจเด็ก ขณะที่ คณะวิทยาศาสตร์ เช่น ฟิสิกข์ เคมี ชีวะ ก็ค่อนข้างน่ากังวล เพราะที่มีเด็กลดลงอย่างเห็นได้ชัดเช่นเดียวกัน และหากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ อาจส่งผลเสียต่อประเทศในระยะยาว” นายศุภชัย กล่าว