สถานการณ์ไข้หวัดใหญ่ในหลายประเทศเริ่มสร้างความกังวล หลังจากนักวิจัยจากแคนาดาเผยข้อมูลการระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ H3N2 กลุ่มย่อยใหม่ “subclade K” ที่กำลังเริ่มกลายเป็นสายพันธุ์เด่นในช่วงเริ่มต้นของฤดูกาล 2025-2026 โดยมีรายงานชัดเจนทั้งจากญี่ปุ่นและสหราชอาณาจักรว่า สายพันธุ์นี้พบในตัวอย่างผู้ป่วยมากถึง 90% ของจำนวนทั้งหมด ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าปีนี้อาจต้องจับตาอย่างใกล้ชิด เนื่องจากสหรัฐ ซึ่งเคยเป็นแหล่งข้อมูลสำคัญด้าน surveillance กลับหยุดเผยแพร่ข้อมูลไปตั้งแต่เดือนกันยายน
รายงานจากทีมผู้เชี่ยวชาญด้านโรคระบบทางเดินหายใจของ British Columbia Centre for Disease Control ระบุว่า ไวรัส H3N2 สายพันธุ์ย่อย subclade K เริ่มปรากฏขึ้นในช่วงท้ายของฤดูกาลไข้หวัดซีกโลกใต้ ทำให้วัคซีนไข้หวัดใหญ่ที่ถูกผลิตเพื่อฤดูกาลปัจจุบัน ซึ่งตั้งอยู่บนสายพันธุ์อ้างอิง “subclade J2” ไม่ตรงกับไวรัสที่กำลังกลายพันธุ์ตามธรรมชาติ ส่งผลให้ประสิทธิภาพของวัคซีนอาจลดลง โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ
ดานูตา สโควรอนสกี (Danuta Skowronski) หัวหน้าทีมระบาดวิทยาโรคไข้หวัดใหญ่และเชื้อทางเดินหายใจในแคนาดา กล่าวกับ CIDRAP ว่า สถานการณ์ในปีนี้มีความเสี่ยงต่อการ “มองไม่เห็นภาพรวม” เพราะสหรัฐยังไม่มีข้อมูลสรุปการระบาดระดับชาติ ซึ่งผิดจากมาตรฐานของหลายปีที่ผ่านมา เธอระบุว่า “นี่ไม่ใช่เวลาที่เราจะเดินเข้าสู่ฤดูกาลไวรัสทางเดินหายใจแบบมืดบอดโดยไม่มีข้อมูล” พร้อมย้ำว่าสหรัฐเป็นจุดอ้างอิงสำคัญของซีกโลกเหนือในแต่ละปี เนื่องจากเป็นแหล่งรวมข้อมูลที่ช่วยทำนายทิศทางของการระบาด
ข้อมูลการรักษาเชิงพันธุกรรม (sequencing) จากฤดูกาลก่อนแสดงชัดว่า H3N2 กำลังพัฒนาแบบ “major drift” หรือการกลายพันธุ์ระดับกลาง (not a shift) ที่ไม่ทำให้ไวรัสกลายเป็นชนิดใหม่ แต่มีพอให้เลี่ยงภูมิคุ้มกันจากวัคซีนในระดับหนึ่ง นอกจากนี้ ยังไม่มีสัญญาณว่าไวรัสกลายพันธุ์จะทำให้อาการรุนแรงขึ้นหรือดื้อยาต้านไวรัส ทำให้ผู้เชี่ยวชาญยังมองว่าสถานการณ์ไม่น่าจะพัฒนาไปสู่การระบาดใหญ่ (pandemic)
อย่างไรก็ดี หากวัคซีนปีนี้ให้ประสิทธิภาพต่ำจริง จำนวนผู้ป่วยอาจเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะประชากรกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้สูงอายุ และผู้มีโรคประจำตัว ล่าสุดข้อมูลจากสหราชอาณาจักรที่เผยแพร่ในรูปแบบ preprint ชี้ว่า วัคซีนปีนี้ยังสามารถป้องกันการเข้ารักษาในโรงพยาบาลของเด็กอายุ 2-17 ปีได้ถึง 70-75% ขณะที่ประสิทธิภาพในผู้ใหญ่ลดลงเหลือเพียง 30-40% ซึ่งเป็นตัวเลขที่ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า “ยังอยู่ในระดับที่เคยพบในหลายปีหลัง”
โจชัว เพทรี (Joshua Petrie) นักวิจัยจากสถาบันวิจัย Marshfield Clinic ในรัฐวิสคอนซินให้ความเห็นว่า ปัจจุบันยังเห็นผู้ป่วยไข้หวัดไม่มากนัก แต่เชื่อว่า H3N2 จะกลายเป็นสายพันธุ์เด่นในสหรัฐ เมื่อฤดูกาลเข้าสู่ช่วงพีก พร้อมเตือนว่าการขาดข้อมูลระดับชาติของ CDC อาจทำให้การรับมือ “ช้าเกินไป” หากจำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอย่างฉับพลัน อีกทั้ง CDC ยังมีบทบาทสำคัญในการวิเคราะห์จีโนมเชื้อไวรัสเพื่อจัดทำวัคซีนฤดูกาลถัดไป นักวิจัยจึงกังวลว่าความล่าช้าอาจกระทบต่อการวางแผนระยะยาว
แม้จะมีความไม่แน่นอน ผู้เชี่ยวชาญยังคงย้ำว่าการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ “ยังจำเป็นที่สุด” เพราะแม้ประสิทธิภาพลดลง วัคซีนยังลดความเสี่ยงของอาการรุนแรงและการรักษาในโรงพยาบาลได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในเด็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ
สถานการณ์ในญี่ปุ่นและอังกฤษซึ่งพบการระบาดของ H3N2 subclade K ในระดับสูงตั้งแต่ต้นฤดูกาล ทำให้หลายประเทศเริ่มจับตาใกล้ชิด เนื่องจากหากไวรัสสายพันธุ์นี้ครองสัดส่วนมากขึ้นจริง ฤดูกาล 2025-2026 อาจเป็นหนึ่งในปีที่มีอัตราการติดเชื้อสูงกว่าปกติ แม้ไม่ถึงขั้นรุนแรงในเชิงความร้ายแรงของโรค แต่จำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นอาจสร้างแรงกดดันต่อระบบสาธารณสุขในหลายพื้นที่
ถึงตอนนี้ผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศยังคงรอข้อมูลเพิ่มเติม โดยเฉพาะจากสหรัฐ ที่มีระบบเฝ้าระวังโรคทางเดินหายใจแข็งแกร่งที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ผลการประเมินของวัคซีนในช่วงปลายฤดูกาลจะเป็นตัวบ่งชี้ว่าสายพันธุ์ subclade K มีผลต่อภูมิคุ้มกันมากน้อยเพียงใด และจะต้องมีการปรับสูตรวัคซีนสำหรับปีหน้าอีกหรือไม่ ขณะที่หลายประเทศยังคงแนะนำให้ประชาชนรับวัคซีนเป็นปกติและติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด