เมื่อนายกฯญี่ปุ่นคนใหม่กล่าวว่า การโจมตีไต้หวันอาจเทียบเท่า “ภัยคุกคามต่อการอยู่รอดของญี่ปุ่น” ทำให้จีนโต้ตอบอย่างรุนแรง ทั้งทางการทูต คำแถลง การเรียกทูตมาตักเตือน และส่งคำเตือนเดินทางไปญี่ปุ่น ส่งผลให้ความสัมพันธ์ญี่ปุ่น-จีนตึงเครียดอย่างต่อเนื่อง
สำนักข่าว Time รายงาน ความสัมพันธ์ระหว่างญี่ปุ่นและจีนกลับเข้าสู่ภาวะเปราะบางอีกครั้ง หลัง ซานาเอะ ทากาอิจิ นายกรัฐมนตรีหญิงคนใหม่ของญี่ปุ่นที่ดำรงตำแหน่งได้เพียงไม่ถึงหนึ่งเดือน ออกถ้อยแถลงที่กระทบเส้นแดงของปักกิ่งอย่างจัง เมื่อเธอระบุในคณะกรรมาธิการรัฐสภาว่า หากจีนดำเนินการบล็อกทางทะเลหรือเคลื่อนไหวทางทหารใด ๆ ต่อไต้หวัน ญี่ปุ่นจะนับการปฏิบัติการเหล่านี้ถือเป็น “สถานการณ์คุกคามการอยู่รอดของประเทศ” ซึ่งเข้าข่ายเปิดทางให้กองกำลังป้องกันตนเองสามารถตอบโต้ทางทหารได้ตามรัฐธรรมนูญฉบับหลังสงครามโลกครั้งที่สอง
คำกล่าวนี้ถือว่ารุนแรงกว่าผู้นำญี่ปุ่นคนก่อนหน้าหลายเท่า เนื่องจากตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา ญี่ปุ่นมักแสดงท่าทีกังวลต่อไต้หวัน แต่ไม่เคยประกาศต่อสาธารณะว่าจะตอบโต้ทางทหารใด ๆ แม้ความสัมพันธ์เชิงยุทธศาสตร์ระหว่างญี่ปุ่น-สหรัฐ และความกดดันจากจีนจะหนักขึ้นเรื่อย ๆ ก็ตาม
คำจำกัดความของทากาอิจิว่าการปิดล้อมทางทะเลโดยกองทัพเรือจีนอาจเทียบเท่าสถานการณ์คุกคามการอยู่รอด ทำให้เธอถูกโจมตีอย่างหนักในจีน หน่วยงานหลายระดับทั้งกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงกลาโหม สำนักงานกิจการไต้หวัน รวมถึงสื่อของรัฐ ต่างออกแถลงตำหนินายกฯหญิงคนนี้อย่างต่อเนื่อง
นักวิชาการจีนชี้ว่า คำพูดนี้ “เกินกว่าเหตุ” และเกิดขึ้นในช่วงที่สถานการณ์ไต้หวันไม่ได้ตึงเครียดเป็นพิเศษ จีนจึงมองได้ว่าเป็นการยกระดับท่าทีของญี่ปุ่นโดยไม่จำเป็น
ความตึงเครียดลุกลามรวดเร็ว เมื่อกงสุลใหญ่จีนในโอซากาลงข้อความบนโซเชียลทางการจีนว่า หากมี “คอที่ยื่นเข้ามา” จีนก็ไม่อาจทำอย่างอื่นนอกจาก “ตัดให้ขาด” แม้โพสต์ถูกลบในเวลาต่อมา แต่ได้สร้างความไม่พอใจอย่างรุนแรงในรัฐบาลโตเกียว กระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่นออกมาตำหนิว่า เป็นถ้อยคำ “ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง” และได้มีการเรียกเอกอัครราชทูตจีนประจำโตเกียวเข้าชี้แจง
การตอบโต้ของจีนไม่ได้จำกัดเพียงวาทกรรมทางการทูต ในคืนวันศุกร์ ปักกิ่งออกประกาศเตือนประชาชนให้หลีกเลี่ยงการเดินทางไปญี่ปุ่น ซึ่งเป็นการกดดันภาคการท่องเที่ยวโดยตรง เนื่องจากนักท่องเที่ยวจีนกว่า 7.5 ล้านคนเดินทางเข้าสู่ญี่ปุ่นในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ คิดเป็นหนึ่งในสี่ของนักท่องเที่ยวทั้งหมด การเตือนนี้อาจทำให้ธุรกิจท่องเที่ยว โรงแรม ร้านค้าปลีก และบริการจำนวนมากในญี่ปุ่นเผชิญแรงกระแทกอย่างจัง
ถัดมา กระทรวงศึกษาธิการของจีนออกคำเตือนต่อนักเรียนจีนในญี่ปุ่น โดยอ้างถึง “เหตุการณ์อาชญากรรมต่อชาวจีน” ถือเป็นสัญญาณกดดันเพิ่มเติม ขณะเดียวกันหน่วยงานตรวจยามตามชายฝั่งจีนยังประกาศลาดตระเวนหมู่เกาะพิพาทเซ็งกากุ หรือเตียวหยู และเรือ 4 ลำของจีนได้ละเมิดน่านน้ำญี่ปุ่นในวันอาทิตย์ สร้างความไม่พอใจในโตเกียวอีกครั้งอย่างต่อเนื่อง
รอยร้าวทางการทูตยังลุกลามถึงเวทีนานาชาติ เมื่อโฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีนเปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีหลี่ เฉียง “ไม่มีแผนพบผู้นำญี่ปุ่น” ในการประชุมสุดยอด G20 ที่แอฟริกาใต้ ซึ่งถูกมองว่าเป็นการส่งสัญญาณชัดเจนว่าจีนต้องการลดระดับความสัมพันธ์ชั่วคราว เพื่อกดดันรัฐบาลใหม่ของญี่ปุ่น
แม้ปักกิ่งยังไม่ได้บ่งชี้ว่าจะใช้มาตรการรุนแรงอย่าง “ควบคุมการส่งออกแม่เหล็กแรร์เอิร์ท” ซึ่งเป็นเซ็กเตอร์ที่มีผลต่ออุตสาหกรรมยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ของญี่ปุ่นโดยตรง แต่ความเป็นไปได้ดังกล่าวก็ทำให้ตลาดจับตาอย่างหนัก เพราะจีนเคยใช้มาตรการนี้กดดันญี่ปุ่นมาแล้วในอดีต
ทางฟากโตเกียว รัฐมนตรีต่างประเทศ โทชิมิตสึ โมเตกิ พยายามดับไฟความขัดแย้งพร้อมกล่าวว่า ญี่ปุ่นจะขอให้จีน “ตอบโต้อย่างเหมาะสม” เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบต่อความสัมพันธ์ในภาพรวม และได้ส่งเจ้าหน้าที่ระดับสูงเดินทางไปปักกิ่งเพื่อหารือยุติความขัดแย้งดังกล่าว แม้ไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดใด ๆ ขณะเดียวกัน สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำจีนได้ส่งอีเมล์แจ้งเตือนพลเมืองญี่ปุ่นให้เพิ่มความระมัดระวัง หลีกเลี่ยงการแสดงตัวเด่นชัดว่าเป็นชาวญี่ปุ่นในที่สาธารณะ หลังสื่อจีนรายงานข่าวสัมพันธ์ตึงเครียดระหว่างสองประเทศอย่างต่อเนื่อง
ปมที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังการเผชิญหน้าครั้งนี้ คือกรอบรัฐธรรมนูญสันติภาพของญี่ปุ่นที่จำกัดสิทธิการใช้กำลังทางทหาร ยกเว้นการป้องกันตัวหรือสถานการณ์ที่ถูกตีความว่าเป็นภัยต่อการอยู่รอดของชาติ กฎหมายขยายอำนาจทางทหารที่อดีตนายกฯชินโสะ อาเบะ ผลักดันในปี 2015 อนุญาตให้ญี่ปุ่นช่วยเหลือพันธมิตรอย่างสหรัฐ หากเป็นสถานการณ์ “คุกคามการอยู่รอด”
ขณะที่ทากาอิจิรุ่นน้องเส้นทางการเมืองของอาเบะ มีท่าทีแข็งกร้าวต่อจีนมายาวนาน ทำให้คำพูดของเธอถูกมองว่าเป็นการทดสอบกรอบความมั่นคงของญี่ปุ่นยุคใหม่
รัฐบาลญี่ปุ่นถูกกดดันหนัก แต่ก็ไม่อาจถอนคำพูดง่าย ๆ เพราะการถอนถ้อยแถลงอาจทำให้ญี่ปุ่นเสมือนลดอำนาจที่ถือไว้ในกรณีเกิดวิกฤตไต้หวัน และอาจกระทบคะแนนนิยมของทากาอิจิที่กำลังพุ่งสูงจากภาพลักษณ์ผู้นำสายแข็ง
ความสัมพันธ์ญี่ปุ่น-จีนจึงกำลังอยู่ในจุดสั่นคลอนรอบใหม่ ซึ่งปัจจัยทางเศรษฐกิจ ความมั่นคง และการแข่งขันอำนาจในภูมิภาคล้วนสัมพันธ์กันอย่างแยกออกจากกันไม่ขาด ทั้งสองประเทศต่างพยายามรักษาเสถียรภาพโดยไม่ให้สถานการณ์ลุกลาม แต่คำพูดเพียงประโยคเดียวได้สร้างคลื่นกระเพื่อมใหญ่ที่ยังไม่มีใครรู้ว่าจะจบลงอย่างไร