เจรจาภาษีทรัมป์ ยังไม่มี ‘สัญญาณ’ ตอบรับจาก USTR
GH News November 20, 2025 09:20 AM
คอลัมน์ : สามัญสำนึกผู้เขียน : ถวัลย์ศักดิ์ สมรรคะบุตร

การเหยียบทุ่นระเบิดสังหารบุคคลของทหารไทยบริเวณ ห้วยตามาเรีย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ส่งผลให้ทหารไทยได้รับบาดเจ็บ 4 นาย โดย 1 ในนั้นอาการสาหัสถึงขั้นต้องสูญเสียข้อเท้าขวา เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายนที่ผ่านมา นับเป็นเหตุการณ์รุนแรงที่รัฐบาลไทยถือว่า เป็นการละเมิดอธิปไตยของประเทศไทย “ที่ไม่อาจยอมรับได้” อีกทั้งยังเป็นการ “ละเมิด” ถ้อยแถลงผลการพบหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีไทยกับนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ (Joint Declaration) เพื่อที่แก้ไขข้อพิพาทเรื่องเขตแดนที่เกิดข้อพิพาทกันขึ้นเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาโดยสันติ

การละเมิดอธิปไตยไทยดังกล่าว ทางสภาความมั่นคงแห่งชาติ ได้มีมติให้ “ระงับ” การดำเนินการตาม Joint Declaration ที่ลงนามร่วมกันไว้เมื่อวันที่ 26 ตุลาคมที่ผ่านมาทันที พร้อมกับเรียกร้องให้ กัมพูชา ออกคำขอโทษอย่างเป็นทางการและดำเนินมาตรการการป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำขึ้นมาอีก

ทว่ากลับไม่ได้รับการตอบรับจากฝ่ายกัมพูชา โดยอ้างว่า ทุ่นระเบิดที่ทหารไทยเหยียบนั้นเป็นทุ่นระเบิดเก่า และยังเกิดเหตุการณ์ฝ่ายกัมพูชาใช้อาวุธปืนระดมยิงเข้ามายังฝั่งไทยบริเวณ บ้านหนองแก้ว อ.โคกสูง จ.สระแก้ว ส่งผลให้ฝ่ายไทยต้องตอบโต้ยิงกลับเข้าไปหลังจากนั้น รัฐบาลกัมพูชาได้ออกข่าวทันทีว่า ฝ่ายไทยใช้ความรุนแรงใส่พลเรือนเป็นเหตุให้พลเรือนกัมพูชาบาดเจ็บ 3 คน และเสียชีวิตอีก 1 คน

นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีไทย ได้ทำหนังสือถึง ประธานาธิบดีทรัมป์ และ นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะสักขีพยานในการลงนาม Joint Declaration เพื่อชี้แจงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมกับยืนยันว่า กัมพูชา เป็นฝ่าย “ละเมิด” เรื่องที่ตกลงกันไว้ใน Joint Declaration ส่งผลให้กระบวนการที่ทั้ง 2 ฝ่ายจะต้องดำเนินการเพื่อบรรลุสันติภาพสิ้นสุดลง ไม่ว่าจะเป็นการถอนอาวุธยุทโธปกรณ์ การเก็บกู้ทุ่นระเบิด การปราบปรามสแกมเมอร์และการสำรวจจัดทำหลักเขตแดนระหว่าง 2 ประเทศ

อย่างไรก็ตาม ในช่วงค่ำของวันที่ 14 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ประเทศไทยกลับได้รับหนังสือแจ้งจาก รองผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) ขอ “ระงับ (Suspend)” การเจรจาการค้าในกรอบความตกลงการค้าต่างตอบแทนระหว่างไทยกับสหรัฐ (Agreement on Reciprocal Trade Framework) เป็นการชั่วคราว กรณีสหรัฐเรียกเก็บภาษีตอบโต้ไทยร้อยละ 19 ที่ลงนามกันไว้คราวเดียวกันกับ Joint Declaration ที่กัวลาลัมเปอร์

แต่ที่สำคัญก็คือ USTR แจ้งว่า การเจรจาจะสามารถกลับมาได้อีกเมื่อ ฝ่ายไทยให้ “คำมั่น (Reaffirms)” จะปฏิบัติตาม Joint Declaration หรือเท่ากับ “บีบบังคับ” ให้ไทย “ยกเลิก” การ “ระงับ” ดำเนินการตาม Joint Declaration แต่เพียงฝ่ายเดียว ทั้ง ๆ ที่ประเทศไทยเป็นฝ่ายถูกกัมพูชา “ละเมิด” อธิปไตยด้วยการลอบเข้ามาวางทุ่นระเบิดในดินแดนของประเทศ

แน่นอนว่า การแจ้ง “ระงับ” การเจรจาภาษีทรัมป์ดังกล่าวได้สร้างความกังวลให้กับภาคเอกชนที่อาศัยการส่งออกไปยังตลาดสหรัฐ ซึ่งเป็นตลาดส่งออกอันดับหนึ่งของไทยทันที จากข้อที่ว่า ได้เกิดความไม่แน่นอนในอัตราภาษีที่สหรัฐเรียกเก็บร้อยละ 19 จากการนำเข้าสินค้าไทย หรือเท่ากับว่า สหรัฐเล่นเกมการเมืองเอาเรื่องทวิภาคีเพื่อแก้ไขข้อพิพาทระหว่างไทยกับกัมพูชา มาผูกไว้กับประเด็นทางการค้า ซึ่งสหรัฐเป็นฝ่ายขู่ที่จะกระทำกับประเทศไทย

แต่ท่าทีของสหรัฐก็พลิกกลับมาอีกครั้ง หลังจากพูดคุยทางโทรศัพท์ระหว่าง นายอนุทิน กับประธานาธิบดีทรัมป์ โดยผู้นำทั้ง 2 เห็นพ้องกันว่า การเก็บกู้ทุ่นระเบิดเป็นประเด็นสำคัญที่จะต้องดำเนินการต่อไป และประธานาธิบดีทรัมป์แจ้งว่า “ไม่ได้ประสงค์ที่จะแทรกแซงการแก้ไขปัญหาของทั้ง 2 ประเทศตามกลไกทวิภาคีที่มีอยู่”

เท่ากับรัฐบาลไทยกำลังใจจดใจจ่อกับการเจรจาภาษีทรัมป์ ตามกรอบ Agreement on Reciprocal Trade Framework ที่ตกลงกันไว้ เพียงแต่ตอนนี้ยังไม่มีสัญญาณ “ตอบรับ” จาก USTR เข้ามาแต่อย่างใด

© Copyright @2025 LIDEA. All Rights Reserved.