บอย ปกรณ์ ลั่นถึงจุดต้องเด็ดขาดเจอคนไม่จ่ายหนี้ 14 ล้าน ยื่นคำขาด-ใช้กฎหมาย
ข่าวสด December 04, 2025 11:20 AM

ถึงจุดนี้แล้ว! บอย ปกรณ์ ลั่นต้องเด็ดขาดเจอคนไม่จ่ายหนี้ 14 ล้าน ผลัดไปเรื่อย ยื่นคำขาดหากผิดข้อตกลงอีก เตรียมเดินหน้าทางกฎหมายถึงศาล บอกธุรกิจไปรู้เลยว่าใคร

จากกรณีที่พระเอกหนุ่ม บอย ปกรณ์ ออกมาโพสต์ทวงหนี้ลูกหนี้ผ่านทางสตอรี่อินสตาแกรมว่า “ไม่ได้อยากทวงเงินออกสื่อเลยครับ แต่คงจำเป็นแล้วมั้ง รีบ ๆ ติดต่อกลับมานะครับ ผมรออยู่ รอมานานแล้ว ขอบคุณครับ” และอีกข้อความ “พี่ครับ รบกวนมาตอบรับทราบในแชท Line หน่อยนะครับ เพื่อเป็นหลักฐานว่าพี่จะทำตามข้อตกลงที่ได้คุยกันไว้ ให้ผมรออีกแล้ว ทำไมต้องให้มา ตามกันในนี้ด้วย ไม่เข้าใจเลยจริงๆ เจ้าหนี้ที่ feel like ลูกหนี้ว่ะ ”

ซึ่งล่าสุดพระเอกหนุ่มมาร่วมงานกาล่าดินเนอร์และประกาศรางวัล “A NIGHT OF APPRECIATION GALA 2025” ณ Ballroom 2 โรงแรม The Ritz-Carlton Bangkok ก็ได้เปิดใจถึงประเด็นดังกล่าวว่า

“คืออย่างนี้ตลอดในชีวิตผม ผมก็มีคนที่ติดเงินเราก็มีเรื่อยๆ แต่ผมไม่เคยอยากที่จะออกมาพูดผ่านสื่อเลย ผมก็ไม่ได้เคยอยากทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่ ทุกวันนี้ก็มีคนที่ติดเงินเราก็มีอยู่หลายเจ้า แต่ผมก็เลือกที่จะเงียบมาตลอด รู้สึกว่าไม่จำเป็นไม่อยากใช้วิธีออกมาทวงผ่านสื่อ เพราะว่าพอทวงผ่านสื่อเดี๋ยวคนก็จะตีความออกไปหลายๆ อย่าง แล้วก็ไม่รู้ว่าจะตีความกันยังไงบ้าง แต่ว่าในเคสนี้ผมรู้สึกว่ามันประกอบไปด้วยหลายๆ เหตุผล อย่างแรกเลยก็คือมันเป็นจำนวนเงินที่ค่อนข้างเยอะแล้วก็ผ่านกระบวนการการติดตามกันมานานแล้ว ก็มีการรับปากแล้วก็ผลัดแล้วก็ตามตัวยากแล้วก็ตามตัวได้วนอยู่อย่างนี้มานานหลายเดือนแล้ว จนผมตามด้วยตัวเองไม่ได้ผมก็เริ่มติดต่อทนายให้ทนายตามก็ยังไม่ประสบผลสำเร็จเลย รู้สึกว่าสุดท้ายผมอาจจะต้องพึ่งสื่อมั้งในการที่จะช่วยตามให้ทุกอย่างมันจบตามที่คุยกันไว้”

อันนี้สามารถบอกได้ไหมว่ามันเป็นเกี่ยวกับอะไร?
“เป็นเรื่องของการทำธุรกิจลงทุน (เห็นบอกว่าเป็นล้านเลย?) ถ้าเอาจริงๆ ก็คือยอดมันอยู่ที่ประมาณ 13-14 ล้าน”

มันเกิดจากอะไร?
“พูดง่ายๆ เลยก็คือการลงทุนเวลาเราลงทุนทำอะไร พอลงไปปุ๊บ พอจบงานมันก็จะมีการปันคืน เวลาปันคืนมันก็ต้องปันทุนกลับมาแล้วก็กำไรหรือขาดทุน จะกำไรขาดทุนก็เอามาหักกับเงินต้น ไอ้ตรงที่ผมลงๆ ไปมันควรจะต้องกลับมาเมื่อ 6-7 เดือนที่แล้ว”

การลงทุนนี้เริ่มลงทุนตั้งแต่เมื่อไหร่?
“ลงทุนก็ในช่วงระยะ 2 ปีนี้”

ล่าสุดที่บอยไปคุยกับเขา เขาให้เหตุผลว่าอะไร?
“คือผมจะบอกอย่างนี้ ที่เขาตามตัวยากก็ใช่แต่ก็ไม่ใช่ว่าตามตัวไม่ได้เลย สุดท้ายก็ติดต่อกันได้ แต่ว่ามันเหมือนพอรับปากว่าจะทำยังงั้นอย่างนี้ว่าจะชำระแบบนั้นแบบนี้พอถึงเวลา พอถึงวัน สมมติเช่น ผมบอกว่าวันนี้วันอังคารเดี๋ยววันพรุ่งนี้ตอนเวลานี้พี่ช่วยส่งมาหาผมหน่อยว่าตกลงพี่จะชำระผมยังไงบ้าง โดยเงื่อนไขอย่างนี้นะ โอเคเขาทำมาให้ พอทำมาให้ปุ๊บมันก็ไม่ตรงที่คุยกัน มันก็เหมือนกับต้องเสียเวลาไปอีก นัดใหม่คุยใหม่ มันเหมือนกับโดนผลัดไปเรื่อยๆ”

อย่างวันนั้นที่ลงทุนไปเขาบอกไว้ว่ามันมีความเสี่ยง หรือว่าบอยคิดว่ามันก็เป็นการลงทุนปกติ?
“การลงทุนเรื่องความเสี่ยง ขาดทุน กำไร ผมรู้อยู่แล้ว การลงทุนมันมีทั้งขาดทุนและกำไร แต่ตรงนี้มันไม่ใช่เรื่องขาดทุนกำไร มันเป็นเรื่องที่ว่าเงินที่ผมลงทุนไปแล้วผมต้องได้คืนมาแต่มันไม่ได้คืน ก็คือ ใช้คำว่าเงินต้นกับเงินปันผล”

พอเงินมันเยอะอย่างนี้มันถึงขั้นต้องขึ้นโรงขึ้นศาลเพื่อฟ้องร้องกันไหม?
“อย่างที่ผมบอกผมทวงมาหลายเดือน คนเคยทำธุรกิจด้วยกัน ผมก็ไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำอยู่แล้ว ความจริงถ้าเกิดมันเลยกำหนดปุ๊บผมสามารถใช้วิธีกฎหมายได้เลย แต่ผมก็ปล่อยให้มันล่วงเลยมาด้วยการที่เขาบอกว่าเขาลำบากตรงอย่างนู้นอย่างนี้ก็เลยมาหลายเดือน จนผมรู้สึกว่าหลายเดือนแล้วก็ยังมีการผลัดผมไปเรื่อยๆ ผมก็รู้สึกว่า งั้นผมต้องเริ่มใช้วิธีทางทนายแล้ว อาจจะต้องเข้าทางกฎหมายที่เขาทำหนังสือตกลงกันอะไรก็ตาม แต่สุดท้ายแล้วอย่างที่เห็น พอใช้วิธีทางทนายแล้วก็ยังมีการผลัดไปเรื่อยๆ อีก ผมก็เลยรู้สึกว่าผมคงต้องพึ่งสื่อแล้วมั้งในการต้องออกมาพูด เพราะว่าทุกๆ อย่างผมว่าผมก็อะลุ่มอล่วย หยวนๆ ให้เขา ช่วยเหลือเขาแต่ทุกอย่างมันมีขีดจำกัดของมัน”

หลังจากนี้เขาได้ติดต่อมาบ้างไหม?
“ผมพูด 2 ครั้งใช่ไหม ก็คือผมโพสต์เมื่อวันศุกร์ตอนกลางคืน เพราะว่าความจริงแล้ววันศุกร์ผมมีนัดเพื่อเซ็นเอกสารกับเขา แต่เอาเป็นว่าไม่ได้เซ็นก็แล้วกัน วันศุกร์ผมก็เลยโพสต์ไปอย่างนั้นว่าผมไม่รู้ว่าจะทำยังไงแล้ว ตามตัวไม่ได้เลย เขาก็ไม่ได้รับสายผมตั้งแต่วันศุกร์ มาเสาร์อาทิตย์ผมก็ไม่อยากตาม ก็เห็นว่ามันเป็นวันหยุด เรารู้สึกว่าเป็นวันครอบครัวแล้วกัน ความจริงแล้วตามเงินมันไม่มีวันหยุด แต่ผมรู้สึกว่าเสาร์อาทิตย์ก็หยุดไป ผมไม่ตาม พอมาเมื่อวานเขาก็ยังไม่โทรมา ผมก็เลยโทรไปก็ตามตัวกันอยู่สักพักหนึ่ง ไม่ได้ตามได้ง่ายๆ ทันที เมื่อวานก็ได้คุยกันจนก็เหมือนว่าจะโอเคแหละ แต่สุดท้ายที่ผมพิมพ์อีกทีเมื่อคืนเพราะว่าพอผมมีข้อตกลงเข้าไปในไลน์ เพื่อให้ต้องการเป็นหลักฐานว่าคุยกันแล้วนะว่าคุยกันแบบนี้ รบกวนช่วยรับทราบให้ผมหน่อย เขาก็ไม่รับทราบให้ ผมก็รอครึ่งชั่วโมง ผมก็พิมพ์ไปอีกครั้งหนึ่งเขาก็ไม่ตอบ ก็เลยรู้สึกว่าถ้าตามในนี้ไม่ได้ก็ขอตามในสตอรี่แล้วกัน”

เรามีลิมิตไหมว่าเขาจะต้องคืนเมื่อไหร่?
“เขาขอบอกผ่อนชำระแหละครับในระยะเวลาที่ก็นานพอสมควร ผมว่าผมก็ใจดีมาก”

นอกจากเรา มีคนอื่นที่โดนเหมือนเราไหม?
“การลงทุนครั้งนี้ก็เป็นผมกับคุณหน่อง ธนา แต่ว่าคุณหน่องไม่ค่อยเสียหายอะไร เพราะว่าเงินลงทุนทั้งหมดเป็นเงินของผมเอง (ยิ้ม) คุณหน่องเวลาลงทุนอะไรพวกนี้ พอผมทำกับหน่องกำไรแบ่งคนละครึ่ง ถ้าขาดทุนก็ขาดทุนคนละครึ่ง แต่ผมเป็นคนออกเงิน เอาง่ายๆ คือเป็นนายทุนให้ เพราะฉะนั้นแล้วก็คือถ้าเกิดไม่ได้เงินคืนคือผมโดนเอง”

อันนี้เขาเป็นคนในวงการหรือเป็นคนนอกวงการ?
“เขาไม่ใช่ดารา ไม่ใช่นักแสดง แต่เขาก็ทำงานเกี่ยวกับวงการบันเทิง หมายถึงทำงานในส่วนของเบื้องหลัง”

จะมีการให้กฎหมายเข้ามาช่วยยังไง?
“ตอนนี้อย่างล่าสุดผมคุยกับเขาเมื่อคืนว่าสิ่งที่เขายื่นข้อเสนอมาว่าจะชำระอย่างนี้ๆ ที่มีการเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาเรื่อยๆ ตลอด เวลา มันได้ข้อตกลงไฟนอลแล้ว เมื่อคืนผมจะทำการนัดเจอเขาวันพฤหัสบดีนี้กับทนายเพื่อให้ทำหนังสือเซ็นว่าเขาจะยินยอมชำระอย่างนี้ๆ จนถึงเมื่อไหร่ ผมก็หวังว่ามันจะไม่มีการผลัด หรือว่ามีอะไรมากกว่านี้แล้ว”

ถ้าเขาผิดคำพูดจะเจออะไร?
“อย่างที่ผมบอกทุกอย่างผมอะลุ่มอล่วยให้เขา หยวนๆ ให้เขา ขยายเวลาให้เขานู่นนี่ ผมขยับให้เขามาเรื่อยๆ แต่ผมว่าสุดท้ายแล้วทุกอย่างมันมีขีดจำกัด ถ้ามันถึงจุดหนึ่งที่ผมรู้สึกว่าผมไม่สามารถที่จะขยับให้เขาได้แล้วก็คงต้องไปถึงกระบวนการทางกฎหมาย”

รู้สึกยังไงบ้างที่ความใจดีของเรามันทำร้ายตัวเราเอง?
“ผมก็ไม่รู้จะพูดยังไง ผมก็ไม่อยากจะมาอวยตัวเองว่าตัวเองใจดี แต่คือเราเป็นอย่างนี้มาตลอด เช่น พอมีคนที่เขาต้องจ่ายเงินเรา แต่เขาก็มาบอกเราว่าเขาไม่มีจริงๆ แล้วเวลาติดต่อไปหมายถึงเคสอื่นๆ ด้วยแล้วเขาก็ยังไม่ได้หายไปไหน เราก็เข้าใจเขาในประมาณหนึ่ง แต่เราก็อยากให้เขาเข้าใจเราประมาณหนึ่งเหมือนกัน อย่างเช่นเงินก้อนนี้ผมก็ทำธุรกิจ ไอ้เงินก้อนนี้ผมยังไม่ได้เงินวนกลับมาในช่วงระยะเวลาที่มันควรจะกลับมา ผมก็เสียหายกับธุรกิจอื่นไปแล้ว ผมก็ไม่ได้ว่าใจดีหรอก แต่อะไรที่พอจะยืดหยุ่นได้ อะไรพอจะช่วยได้ผมก็เต็มที่ แต่ว่าทุกอย่างมันมีขีดจำกัด”

สุดท้ายแล้วทำใจไว้ไหมว่าจะไม่ได้คืน?
“ก็หวังว่าจะได้เงินกลับมาคืน คือก็เอาความจริงก็ไม่อยากที่จะต้องไปถึงกระบวนการทางศาลด้วยแต่ถ้ามันจะไปจริงๆ ก็คงต้องไป”

แล้วในตัวสัญญากำหนดใช้หนี้ผ่อนเรากำหนดไว้กี่ปี?
“อันนี้ผมขอเป็นดีเทลแล้วกัน แต่ว่าผมก็ค่อนข้างที่จะกล้าพูดว่าผมให้เวลาเขาในการผ่อนชำระเป็นระยะเวลาพอสมควร”

อันนี้เป็นครั้งแรกไหมที่ทำธุรกิจแล้วเจอก้อนใหญ่ขนาดนี้?
“ถ้าเกิดว่าเรื่องของการโดนก็น่าจะใหญ่สุด แต่ถามว่าที่ผ่านมามีคนที่ต้องเป็นหนี้เราในหลักล้านก็มี ตอนนี้ก็มี ซึ่งผมก็ไม่อยากพูดเพราะว่าเขาก็ยังสามารถทำให้ผมติดต่อได้ แล้วเขาก็ดูมีความพยายาม ซึ่งก็ทยอยมาทีละนิดทีละหน่อย แต่ผมก็ไม่อยากพูด อย่างที่ผมบอกถ้าไม่จำเป็นผมก็ไม่รู้จะพูดเรื่องพวกนี้ทำไม”

ต่อจากนี้ไปถ้าจะต้องใช้เงินก้อนใหญ่อย่างนี้จะต้องระมัดระวังตัวแค่ไหนมันมีความระแวงความกลัวไหม?
“ความจริงแล้วผมเป็นคนย้ำคิดย้ำทำอยู่แล้ว ผมโคตรระมัดระวังเลย โดยเฉพาะเรื่องของการใช้เงิน ผมโคตรคิดถี่ถ้วนไตร่ตรองให้ดี หาคอนเน็กชั่นว่าคนนี้ไว้ใจได้ไหม ผมเป็นคนที่ค่อนข้างแบบเกือบๆ จะเป็นเพอร์เฟ็กชั่นนิสต์ในเรื่องพวกนี้เหมือนกันนะ ต้องแบบระมัดระวังตัวมากที่สุด.แล้วสำหรับเคส 13 -14 ล้าน ผมก็มั่นใจว่าในตอนแรกมันไม่น่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ได้ เพราะว่าเขาก็ดูมีความน่าเชื่อถือมาก แต่สุดท้ายมันก็เกิด ผมว่าอะไรมันก็เกิดขึ้นได้อ่ะเนาะ เขาถึงบอกว่าทุกการลงทุนมันมีความเสี่ยง”

แต่ถ้าเขาไม่ใช้หรือว่าหนีจะบอกไหมว่าเขาคือใคร?
“เรื่องเปิดเผยผมว่ามันก็เป็นเรื่องของทางกฎหมายด้วย อันนี้ผมก็ไม่รู้หรอกว่ามันได้มากน้อยแค่ไหน แต่ความจริงถ้าเกิดว่าผมพูดออกไปว่ามันเป็นธุรกิจอะไร ผมว่าคนก็คงจะต้องรู้แหละ แต่ทีนี้ผมก็บอกเขาไปว่าถ้าเซ็นข้อตกลงแล้วผมขอให้มันตรงตามเวลาแล้วก็ตรงตามข้อกำหนด เพราะว่าถ้าเกิดว่ามันมาถึงจุดที่ว่าถ้าคุณผิดชำระผมแม้แต่งวดเดียวผมก็ขออนุญาตส่งไปถึงตามกฎหมายถึงศาลเลย เพราะว่าผมยื่นคำขาดกับเขาไปหลายครั้งแล้ว แต่คำขาดของผมมันคงไม่ศักดิ์สิทธิ์มั้ง หรือเห็นว่าผมใจดีเขาก็เลยพยายามที่จะผลัดผมมาเรื่อยๆ แต่อย่างที่บอกตอนนี้ผมว่ามันมาถึงจุดที่ผมจะต้องทำทุกอย่างให้มันเด็ดขาดจริงๆ แล้ว”

© Copyright @2025 LIDEA. All Rights Reserved.