ได้กระแสตอบรับที่ดีอยู่ไม่น้อย สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า คันแรกของค่ายพี่ใหญ่ โตโยต้า bZ4X เปิดให้จองสิทธิ์ไม่ถึง 1 เดือน มีผู้สนใจมากกว่า 2,000 ราย ทำเอาผู้บริหารยิ้มแก้มปริไปตามๆ กัน และยังคงมียอดจองเข้ามาอย่างต่อเนื่อง

และเพื่อให้ได้รับรู้ถึงสมรรถนะของรถคันนี้ ทีมงานโตโยต้าได้จัดทริปทดสอบเส้นทางกรุงเทพฯ จ.ประจวบคีรีขันธ์ แต่ด้วยข้อจำกัดของจำนวนรถ ทำให้ ‘ข่าวสด ยานยนต์’ ได้ทดสอบขากลับ กับในสนามออฟโรด ที่จำลองขึ้นมาในไร่องุ่น

การออกแบบของเจ้า โตโยต้า bZ4X ด้านหน้าดีไซน์ Hammerhead คล้ายกับฉลามหัวค้อน แลดูปราดเปรียว ไฟหน้า Full LED พร้อมไฟส่องสว่างเวลากลางวัน ไฟท้าย Full LED ดีไซน์เฉพาะตัว

ซุ้มล้อสีดำขนาดใหญ่ แสดงออกถึงการพร้อมลุย กระจกมองข้างสีดำ เสาอากาศครีบฉลามสีดำ ล้ออัลลอยขนาด 20 นิ้ว เพิ่มอารมณ์สปอร์ตให้กับตัวรถมากยิ่งขึ้น

ภายใน ดีไซน์เรียบง่าย เบาะนั่งคู่หน้า ปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง พร้อมระบบบันทึกตำแหน่งเบาะนั่งของผู้ขับขี่ จอแสดงผลข้อมูลผู้ขับขี่ ขนาด 7 นิ้ว

หน้าจอสัมผัสขนาด 14 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay แบบไร้สาย และ Android Auto ชาร์จไฟแบบไร้สาย Wireless charger 2 ตำแหน่ง ระบบปรับอากาศ ระบบกรองฝุ่น PM2.5 พื้นที่เก็บสัมภาระด้านท้ายลึก และสูง ใส่กระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่ 2 ใบได้สบายๆ

เริ่มทดสอบในสนามกับรุ่น AWD หรือขับเคลื่อนสี่ล้อตลอดเวลา ขับกันบนถนนลูกรังทางเข้าไร่ รับรู้ได้ถึงความนุ่มนวล เพราะแม้จังหวะขับผ่านหลุมใหญ่ ไม่มีอาการกระเด้งกระดอนให้ได้รู้สึก ช่วงล่างให้ตัวได้ค่อนข้างดี

จังหวะไต่ทางชัน กับทางที่มีหินก้อนใหญ่น้อยลอยตัวอยู่ ด้วยระบบต่างๆ ที่เข้ามาช่วยการขับขี่ ไม่ว่าจะเป็นระบบควบคุมการทรงตัว (VSC) ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี (TRC) และระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน (HAC) ตัวรถตะกุยไปได้ไม่มีสะดุด

ทดสอบวงเลี้ยวด้วยการยูเทิร์นบนทางแคบ แคบแบบไม่ถึงสองเลน แม้เลี้ยวสุดแล้วต้องถอย 1 ครั้ง ถึงจะสามารถผ่านไปได้ แต่ก็น่าทึ่งพอสมควร กับตัวรถที่ยาวร่วม 4.7 เมตร น้องๆ รถปิกอัพกันเลยนะนั่น

ขากลับช่วงแรกนั่งเบาะหลังเป็นผู้โดยสาร กับรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อ เบาะนั่งนุ่มแน่น พื้นที่เหนือศีรษะและวางขามีมาให้มากพอตัว ทำให้ไม่รู้สึกอึดอัด มีช่องปรับอากาศ และช่องชาร์จไฟ USB Type-C แบบชาร์จเร็ว 2 ตำแหน่ง สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง

จังหวะออกตัวและถอนคันเร่งมีแรงหน่วงอยู่พอประมาณ แม้จะให้น้องผู้ทดสอบลองถอนคันเร่งเบาๆ รวมถึงปรับการหน่วงให้น้อยสุดก็ยังจับความรู้สึกได้

ถึงเวลาขึ้นตำแหน่งคนขับ เปลี่ยนไปขับรุ่นขับเคลื่อนสองล้อ อย่างแรกที่ทำคือปรับการหน่วงให้น้อยที่สุด พร้อมทั้งเปลี่ยนโหมดการขับขี่เป็นนอร์มอล ช่วงแรกค่อยๆ เติม ค่อยๆ ถอนคันเร่ง ด้วยกลัวอาการหน่วงของรถ

แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะไม่มีแรงหน่วงให้ได้รู้สึก คราวนี้ค่อยมั่นใจทำความเร็วสูงขึ้น แม้บนถ.พระราม 2 จะมากไปด้วยเพื่อนร่วมทาง แต่ด้วยถนนมีหลายเลน ทำให้โยกซ้ายแซงขวาได้อย่างต่อเนื่อง

ถึงมหาชัยมีทางด่วนเปิดให้ทดลองใช้ ไม่รอช้าขึ้นไปในทันใด จะได้ทดสอบความเร็วปลายไปด้วยในตัว เพิ่มน้ำหนักเท้าที่แป้นคันเร่ง กำลังจากมอเตอร์ที่ล้อหน้า เรียกมาใช้งานได้สูงสุด 221 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 269 นิวตัน-เมตร ได้ค่อนข้างทันใจตามสไตล์รถอีวี

ช่วงล่างไว้ใจได้ทั้งบนย่านความเร็วสูง เปลี่ยนเลนกะทันหัน รวมถึงเข้าโค้ง ด้วยโครงสร้างที่ออกแบบเพื่อรถอีวีโดยเฉพาะ e-TNGA PLATFORM มีจุดศูนย์ถ่วงต่ำ ช่วยในเรื่องการทรงตัว รวมถึงการควบคุมตัวรถได้เป็นอย่างดี

จากที่รับรถต่อมาจากนักทดสอบคนก่อนหน้า แบตเตอรี่มีไฟอยู่ 67% ถึงปลายทางเหลือ 25% เท่ากับใช้ไฟไป 42% ขับได้ระยะทาง 131.5 ก.ม. ดูเหมือนระยะทางที่ได้น้อยไปหน่อย แต่ถ้าเทียบกับขนาด และน้ำหนักรถประมาณ 2 ตัน รวมถึงหากขับแบบทั่วไป ไม่ใช่การทดสอบ น่าจะได้ระยะทางมากกว่านี้อยู่พอประมาณ

ส่วนจะเหมาะกับไลฟ์สไตล์ และคุ้มค่ากับราคารุ่นขับเคลื่อนล้อหน้า 1.529 ล้านบาท และรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อ AWD 1.649 ล้านบาทหรือไม่ ต้องแวะไปพิสูจน์ด้วยตัวเอง

กิตติพงศ์ ศรีเจริญ