การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะไม่จำกัดอยู่ในแวดวงของพรรคการเมืองนักการเมืองและสว.ท่านั้น แต่จะเป็น ‘วาระของประเทศ’ ที่ใครก็ทำให้ล้มง่าย ๆ ไม่ได้ครับ
14 ธ.ค.2568-นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตสส.พรรคเพื่อไทย(พท.) โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า เดิมทีเกรงกันว่า หากฝ่ายค้านยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ นายกฯ ก็จะยุบสภา และร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่กำลังพิจารณากันอยู่ก็จะตกไป แต่การยุบสภาที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ เป็นการหนีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ทั้งๆที่ฝ่ายค้าน (พรรคเพื่อไทย) ยังไม่สรุปว่าจะยื่นญัตติ
เมื่อพรรคภูมิใจไทยและพรรคร่วมรัฐบาลร่วมมือกับ ส.ว. ส่วนใหญ่ ไม่ยอมทำตามกรรมาธิการเสียงข้างมากในประเด็น “การไม่มีเงื่อนไข สว. หนึ่งในสาม” ในการลงมติเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบต่อร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่จะมีการร่างกันในอนาคต ทุกฝ่ายก็เห็นชัดเจนแล้วว่า เมื่อยังคงเงื่อนไข ส.ว. หนึ่งในสามไว้เช่นนี้ การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย เพราะอำนาจตัดสินชี้ขาดสุดท้ายจะอยู่ที่สว.สีน้ำเงิน ไม่ใช่รัฐสภาหรือประชาชน
การยุบสภาและการที่ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญตกไป จึงกลายเป็นความล้มเหลวของความพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ ด้วยความคิดว่า “พรรคภูมิใจไทยน่าจะมีพลังในการโน้มน้าวสมาชิกวุฒิสภาบางส่วน ให้เห็นชอบกับการจัดทำธรรมนูญฉบับใหม่ได้” แต่ถึงเวลาจริง ๆ พรรคภูมิใจไทยก็กลับไปจับมือกับ สว. และคงเงื่อนไขที่ทำให้การแก้รัฐธรรมนูญเป็นเรื่องยากที่สุดเอาไว้
งานนี้พรรคภูมิใจไทยได้ไปหลายอย่าง ทั้งตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและการเป็นแกนนำพรรคร่วมรัฐบาล ทั้งอำนาจในการแต่งตั้งโยกย้าย และการใช้งบประมาณเพื่อเตรียมความพร้อมในการเลือกตั้งของตน อีกทั้งยังใช้โอกาสคลี่คลายเรื่องที่เป็น “ชนักปักหลัง” อยู่ ขณะที่การแต่งตั้งกรรมการองค์กรอิสระก็ได้คนที่มีประวัติเคยทำงานรับใช้ใกล้ชิดกับพวกตนเข้ามาดำรงตำแหน่งมากขึ้นเรื่อย ๆ ส่วนการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 256 เพื่อให้นำไปสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ก็ไม่เกิดขึ้น
หนังซีรีส์ Episode ว่าด้วย MOA จึงจบลงด้วยประการฉะนี้…
แต่ในท่ามกลางความชุลมุนในวันประชุมรัฐสภาครั้งสุดท้าย ก็ยังดีที่พรรคการเมืองหลายพรรคยังตั้งหลักได้และพรรคภูมิใจไทยกับสว.จำนวนมากต้องยอมโอนอ่อนผ่อนตาม มีสามพรรคการเมืองและหนึ่งกลุ่มสว.เสนอญัตติเพื่อให้รัฐสภามีมติร้องขอให้ ครม. ไปมีมติให้จัดทำให้มีการออกเสียฃประชามติต่อไป โดยที่ประชุมได้มีมติเกือบจะเป็นเอกฉันท์เห็นชอบให้ส่งคำขอไปยังคณะรัฐมนตรีเพื่อให้จัดให้มีการลงประชามติโดยมีคำถามว่าประชาชนจะเห็นชอบให้มีการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่
ซึ่งการจัดให้มีการออกเสียงประชามติครั้งนี้คงจะเกิดขึ้นในวันเดียวกันกับการเลือกตั้ง โดยจะผ่านความเห็นชอบของประชาชนหรือไม่เป็นเรื่องที่มีความหมายสำคัญอย่างมากต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญและการทำให้บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตย
การแก้รัฐธรรมนูญเกี่ยวข้องกับชีวิตจริงของคนไทยทุกคน ดังนั้นกระบวนการหลังจากนี้จะไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ และไม่ใช่ความผิดพลาดที่ค่อยมาขอโทษกันทีหลังได้
ต่อจากนี้ ทุกฝ่ายที่ต้องการให้บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตย ต้องไม่ปล่อยให้ “การร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่” ถูกฝังทั้งเป็น จนตายสนิทไปตลอดกาล วันนี้ต้องหยุดคิดแค่ว่า “จะแก้ให้สำเร็จ” อย่างไร และต้องคิดให้ชัดยิ่งกว่านั้นว่า จะทำให้ “ประชาชนเป็นเจ้าของกระบวนการ” ได้จริงอย่างไร
เพราะนี่คือ ประเด็นยุทธศาสตร์ของรัฐธรรมนูญ ที่จะชี้เป็นชี้ตายว่าไปต่อได้หรือถูกทำให้ล้มไปเลย ดังนั้น พรรคการเมือง นักการเมือง องค์กรภาคประชาชน และผู้รักประชาธิปไตยทุกภาคส่วน ต้องร่วมมือกันวาง “กระบวนการรณรงค์” ให้แข็งแรง ตั้งแต่การเล่าเหตุผลให้จับต้องได้ เปิดพื้นที่ให้ทุกฝ่ายร่วมออกแบบ ไปจนถึงการสื่อสารแบบต่อเนื่องเพื่อให้การจัดทำประชามติในคำถามที่ว่า “ประชาชนจะเห็นชอบให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่” ผ่านความเห็นชอบของประชาชนให้ได้
สิ่งนี้จำเป็นอย่างมาก เพราะต้องยอมรับความจริงร่วมกันก่อนว่า ต่อให้เราผ่านประชามติคำถามที่ 1 ไปได้ ก็ยังไม่ใช่เส้นชัยแต่เป็นเพียง “การเปิดประตู” เท่านั้น
หลังจากนั้นยังต้องกลับมาเดินเกมใหญ่ คือการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 256 ใหม่อีกครั้ง และในขั้นนั้น “ส.ว. 134 คนขึันไปก็ยังขวางได้” อยู่เหมือนเดิม แต่การผ่านประชามติจะมีความหมายอย่างมาก เพราะนั่นคือหลักฐานชัด ๆ ว่าประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ “ต้องการรัฐธรรมนูญฉบับใหม่” และมติมหาชนนี้จะกลายเป็นต้นทุนทางการเมืองและเป็นแรงผลักดันที่สำคัญให้กระบวนการเดินหน้าต่อไปได้
เมื่อประชาชนชนส่วนใหญ่ตัดสินและเมื่อเราทำให้ประชาชน “เป็นเจ้าของกระบวนการ” ได้จริง การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะไม่จำกัดอยู่ในแวดวงของพรรคการเมืองนักการเมืองและสว.ท่านั้น แต่จะเป็น “วาระของประเทศ” ที่ใครก็ทำให้ล้มง่าย ๆ ไม่ได้ครับ