สถานการณ์แนวโน้มฝุ่น PM2.5 พุ่งสูงขึ้น ปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลกระทบดังกล่าวมักในวันที่เกิดภาวะ "อากาศปิด" ในช่วงปลายปีซึ่งจากการพยากรณ์อากาศพบปัจจัยเสี่ยงต่อการสะสมฝุ่นหลายประการ ทั้งลมอ่อน ภาวะอุณหภูมิผกผัน และมลพิษที่เกิดในกรุงเทพมหานคร ซึ่งมีสาเหตุหลักจากยานพาหนะ
ล่าสุด นายพรพรหม วิกิตเศรษฐ์ ที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และผู้บริหารด้านความยั่งยืนของกรุงเทพมหานคร เปิดเผยว่า ค่าฝุ่น PM2.5 ในวันที่ 23 ธันวาคมที่ผ่านมานั้นดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยมีสถานีตรวจวัดที่เกินค่ามาตรฐานเพียง 4 สถานี จากทั้งหมด 70 สถานี หรือคิดเป็นร้อยละ 5.7
ทั้งนี้ หากย้อนดูต้นตอของปัญหาฝุ่นในกรุงเทพมหานครจะพบว่า สาเหตุหลักมาจากการเผาไหม้ของเครื่องยนต์ และสภาพอากาศปิด อย่างไรก็ดี วันที่ค่าฝุ่นพุ่งสูงจนอยู่ในระดับสีแดงเข้ม ไม่ได้เกิดจากเพียงสองปัจจัยนี้เท่านั้น
"นักสืบฝุ่น" ในโครงการสำรวจต้นตอฝุ่นของกรุงเทพมหานคร พบจากการทดสอบกระดาษฟิลเตอร์ที่ใช้เก็บตัวอย่างฝุ่นในเครื่องตรวจวัดว่า "การเผาชีวมวล" จากจังหวัดใกล้เคียง เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้สถานการณ์ PM2.5 รุนแรงขึ้นในบางช่วงจนส่งผลกระทบต่อสุขภาพประชาชน เช่น น้ำตาไหล ไอ จาม และอาการภูมิแพ้กำเริบ โดยเฉพาะกรณีที่มีจุดเผาสะสมต่อเนื่อง 2–3 วัน ใน 5 จังหวัดต้นลม ได้แก่
เมื่อรวมกับสภาพอากาศปิดติดต่อกันหลายวัน ส่งผลให้ค่าฝุ่นบางวันสูงเกิน 75 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร และปรากฏเป็นสีแดงทั่วทั้งแผนที่โดยปกติ กรุงเทพมหานครมี 10 มาตรการรับมือฝุ่นในช่วงฤดูหนาวซึ่งเป็นแนวทางมาตรฐานที่ดำเนินการอย่างต่อเนื่องทุกปี
อย่างไรก็ตาม ในปีนี้ กทม. ได้เพิ่มมาตรการเชิงรุก ด้วยการเดินหน้าหารือร่วมกับจังหวัดรอบข้างที่มีการเผาทางการเกษตร โดยแนวคิดสำคัญคือ "ขอความร่วมมือนัดวันเผา" ให้สอดคล้องกับสภาพอากาศหลักการง่าย ๆ คือ
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2568 ถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญเมื่อกรุงเทพมหานครและจังหวัดนครนายก ได้ร่วมพูดคุยอย่างจริงจังเพื่อแก้ไขปัญหานี้ โดย 4 สาระสำคัญจากความร่วมมือครั้งนี้ ได้แก่
- เจาะลึกพื้นที่ปัญหา
มุ่งหาต้นตอในพื้นที่ อ.เมืองนครนายก และ อ.ปากพลี ซึ่งประสบปัญหาน้ำท่วมขัง ทำให้การนำตอซังออกจากนาเป็นไปได้ยาก และเกิดการเผาหลังเก็บเกี่ยวในระดับสูง
-ใช้ข้อมูลกำหนด "เวลาเผา"
โดยนำข้อมูลจุดความร้อน (Hotspot) อัตราการระบายอากาศ (Ventilation Rate: VR) และทิศทางลม มาวิเคราะห์ร่วมกัน เพื่อจัดทำปฏิทิน "วันห้ามเผา" และ "วันอนุญาตให้เผาแบบควบคุม" ลดความเสี่ยงที่ฝุ่นจะพัดเข้าสู่เมืองในช่วงอากาศปิด
-เปลี่ยน "เผา" เป็น "เงิน"
ส่งเสริมทางเลือกใหม่ให้เกษตรกร เช่น การใช้สารย่อยสลายตอซัง หรือการอัดฟางเป็นก้อนเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ด้านอื่น แทนการจุดไฟเผา
-ขอทุนองค์กรต่างประเทศให้เกษตรกร:
เตรียมจัดทำโครงการนำร่อง (Pilot Project) เพื่อขอรับการสนับสนุนจาก ธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) และ องค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (GIZ) ในการจัดการตอซังแบบยั่งยืน
นอกจากนี้เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา กทม.ได้ประกาศขอความร่วมมือจังหวัดรอบข้างอย่างเป็นทางการ งดการเผาในช่วงวันที่ 22–25 ธันวาคม 2568 หลังจากประเมินการพยากรณ์สภาพอากาศล่วงหน้า 7 วัน ซึ่งภายหลังการขอความร่วมมือ พบว่า จุดเผารอบกรุงเทพฯ ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
อย่างไรก็ดี ทั้งหมดนี้ คือ "แพ็กเกจการแก้ปัญหาฝุ่น" ที่มองไกลกว่าแค่ฝุ่นในเมืองแต่ครอบคลุมถึงพื้นที่โดยรอบเราทราบดีว่า ปัญหาฝุ่นเป็นเรื่องระยะยาว เปรียบเสมือนการวิ่งมาราธอน หลายเมืองใหญ่ทั่วโลกสามารถวิ่งถึงเส้นชัยและเอาชนะปัญหาฝุ่นได้ แม้ต้องใช้เวลาหลายสิบปี กรุงเทพมหานครเองยังคงอยู่บนลู่วิ่งเส้นนี้ และจะเดินหน้าพิชิตเส้นชัยด้วยข้อมูล หลักวิทยาศาสตร์ และความร่วมมือจากทุกภาคส่วน