ญี่ปุ่นเตรียมรุกวงการการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ หรือเชิงการแพทย์ ซึ่งเป็นหนึ่งในขุมทรัพย์ด้านการท่องเที่ยวที่หลายประเทศทั่วโลกพยายามชิงส่วนแบ่ง ด้วยแนวโน้มการเติบโตแบบก้าวกระโดด
สะท้อนจากข้อมูลของ Global Information และ Global Market Insights คาดว่าตลาดการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ครอบคลุมอุตสาหกรรมที่ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพแก่ผู้ป่วยที่เดินทางทั้งในประเทศและต่างประเทศเพื่อรับการรักษาพยาบาลในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก จะมีมูลค่า 4.21 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2025 และคาดว่าจะโตต่อเนื่องเป็น 9.52 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2033
ส่วนตลาดในญี่ปุ่นคาดว่าจะโตเพิ่มจาก 1.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2025 นี้ เป็น 3.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2033
สำนักข่าวนิกเคอิ เอเชีย รายงานว่า บริษัทท่องเที่ยว, ผู้ให้บริการเดินรถไฟ และโรงพยาบาลในญี่ปุ่น ผนึกกำลังกันเพื่อปั้นเดสติเนชั่นการท่องเที่ยวด้านสุขภาพ ในทำเลทองใกล้กับสนามบินฮาเนดะของกรุงโตเกียว
โดยเมื่อช่วงต้นเดือนธันวาคม โรงพยาบาลโตเกียว โรไซ (Tokyo Rosai Hospital) ซึ่งตั้งอยู่ใกล้สนามบินฮาเนดะจับมือกับเจทีบี (JTB) กลุ่มบริษัทท่องเที่ยวรายใหญ่ และเคคิว (Keikyu) ผู้ให้บริการเดินรถไฟ ทดลองจัดทัวร์ท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ซึ่งมีจุดเด่นเป็นบริการครบวงจรทั้งด้านสุขภาพอย่าง MRI สมอง, ส่องกล้อง ตรวจภายใน, อัลตราซาวนด์เพื่อหารอยโรคระยะเริ่มต้น ฯลฯ และการเดินทางจากสนามบิน รวมถึงมีทีมล่ามมาให้บริการแบบใกล้ชิดด้วย
ทัวร์ตรวจสุขภาพนี้แบ่งเป็น 2 แพ็กเกจ คือ แบบพื้นฐานใช้ระยะเวลาตรวจ 5 ชั่วโมง และแบบครบวงจรระยะเวลา 10 ชั่วโมงที่นอกจากตรวจสุขภาพแล้วยังมีคลาสเรียนทำอาหารจากวัตถุดิบออร์แกนิกในท้องถิ่น และการไปบ่อน้ำพุร้อนด้วย
โดยแม้ผู้เข้าร่วมทัวร์ชุดนำร่องจะเป็นชาวต่างชาติที่อาศัยในญี่ปุ่น อาทิ จีน, ไต้หวัน และฟิลิปปินส์ แต่กลุ่มผู้จัดยังต้องการดึงดูดนักท่องเที่ยวจากยุโรปและอเมริกา รวมถึงนักท่องเที่ยวจากเอเชียด้วยเช่นกัน รวมถึงวางแผนเริ่มขายแพ็กเกจท่องเที่ยวเชิงสุขภาพนี้อย่างเป็นทางการในช่วงปีงบฯ 2026 ซึ่งจะเริ่มต้นตั้งแต่เดือนเมษายน 2026 เป็นต้นไป
“โนริโกะ คิตะมุระ” เจ้าหน้าที่ของเคคิว อธิบายว่า ตอนนี้เราต้องการยืนยันให้ชัดเจนว่าบรรดานักท่องเที่ยวต่างชาตินั้น มีความต้องการซื้อทัวร์ท่องเที่ยวเชิงสุขภาพด้วยหรือไม่
ทั้งนี้ นอกจากความร่วมมือของภาคเอกชนแล้ว โปรแกรมนำร่องนี้ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานด้านการท่องเที่ยวของรัฐบาลญี่ปุ่นทั้งในด้านพัฒนาการท่องเที่ยวโดยใช้ทรัพยากรท้องถิ่นและขยายช่องทางการขาย เนื่องจากรัฐบาลญี่ปุ่นต้องการส่งเสริมบริการดูแลสุขภาพและการพยาบาล รวมถึงการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์สำหรับชาวต่างชาติ
กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่นระบุว่า หากญี่ปุ่นสามารถจับดีมานด์บริการทางการแพทย์ในระดับโลกได้ จะไม่เพียงช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับบริการทางการแพทย์ของญี่ปุ่น แต่ยังเสริมแกร่งความมั่นคงทางการเงินให้กับสถาบันทางการแพทย์ และพัฒนาทักษะของบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจท้องถิ่นด้วย
อย่างไรก็ตาม แผนนี้ยังมีความท้าทายอยู่ “อะคิโอะ โมริตะ” แพทย์และผู้อำนวยการโรงพยาบาลโตเกียว โรไซ กล่าวถึงความท้าทายที่พบในช่วงนำร่องว่า ภาษาเป็นความท้าทายหลักที่ต้องรับมือเพราะการตรวจบางแบบ เช่น การทดสอบการทำงานของระบบทางเดินหายใจ ต้องอาศัยการสื่อสารกับผู้ป่วยขณะตรวจ