รัฐบาลเพื่อไทยโดยอดีตนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน ได้ตั้งเป้าหมายรายได้จากการท่องเที่ยวปี 2567 เมื่อครั้ง “สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล” เข้ามานั่งตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวฯ เมื่อเดือนกันยายน 2566 และต่อเนื่องถึง “เสริมศักดิ์ พงษ์พานิช” (พฤษภาคม 2567) ไว้ที่ 3.5 ล้านล้านบาท
ข้อมูลของกระทรวงการท่องเที่ยวฯระบุว่า ตั้งแต่ 1 มกราคม-14 กันยายน 2567 ประเทศไทยมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติสะสมแล้ว 24.7 ล้านคน สร้างรายได้รวมกว่า 1.2 ล้านล้านบาท โดยตลาดที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติสะสมสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ จีน จำนวน 4.98 ล้านคน ตามด้วย มาเลเซีย 3.48 ล้านคน อินเดีย 1.43 ล้านคน เกาหลีใต้ 1.31 ล้านคน และรัสเซีย 1.11 ล้านคน
และหลังจาก “แพทองธาร ชินวัตร” ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี ครั้งนี้ได้ส่ง “สรวงศ์ เทียนทอง” เลขาธิการพรรคเพื่อไทย มาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวฯ
“สรวงศ์ เทียนทอง” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวฯ ให้สัมภาษณ์ถึงเป้าหมาย นโยบาย และแนวทางการขับเคลื่อนภาคการท่องเที่ยวของประเทศไทยว่า วาระเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการในด้านการท่องเที่ยวคือการพยายามผลักดันให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามามากที่สุด และมีการใช้จ่ายต่อคนให้เพิ่มขึ้นได้มากที่สุด
รวมถึงให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนในการร่วมขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศให้มากที่สุดด้วยเช่นกัน
“แม้ว่ากระทรวงการท่องเที่ยวฯจะเป็นกระทรวงขนาดเล็ก แต่เป็นกระทรวงหลักที่สร้างรายได้และสร้างชื่อเสียงให้ประเทศ และมีหน่วยงานที่ช่วยขับเคลื่อนหลายส่วน เช่น การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย การกีฬาแห่งประเทศไทย ฯลฯ”
“สรวงศ์” บอกว่า สำหรับตัวเลขนักท่องเที่ยวในปีนี้นั้นยังยืนยันเหมือนเดิม ยังคงเป็นตัวเลขเดิม โดยได้ตั้งเป้ารายได้รวมที่ประมาณ 3 ล้านล้านบาท ซึ่งถือเป็นความท้าทายอย่างมาก ส่วนเป้าหมายของ นายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี ที่กำหนดไว้ 3.5 ล้านล้านบาทนั้น ตนจะพยายามผลักดันไปให้ดีที่สุด
ขณะเดียวกันในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ จะมีการกระตุ้นการท่องเที่ยวผ่านการจัดงาน การแข่งขันรายการ “โมโตจีพี 2024” รวมถึงงาน Amazing Thailand Marathon การจัดอีเวนต์ต่าง ๆ เช่น เทศกาลลอยกระทง หรือเคานต์ดาวน์ ซึ่งก็มีการวางแผนเอาไว้เรียบร้อยแล้ว จึงมั่นใจว่าน่าจะสร้างเม็ดเงินได้
“ผมมั่นใจว่าการจัดงานอีเวนต์ต่าง ๆ นี้ จะสร้างเม็ดเงินได้พอสมควร อาจจะไม่ได้ 3.5 ล้านล้านบาท แต่ผมมั่นใจจะได้ตามเป้าหมายของกระทรวง คือ 3 ล้านล้านบาทแน่นอน”
ทั้งนี้ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายรายได้ 3.5 ล้านล้านบาท จะต้องเร่งเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวตลาดหลัก อาทิ จีน รัสเซีย อินเดีย และมาเลเซีย ให้เพิ่มมากขึ้น รวมถึงทำให้นักท่องเที่ยวกลุ่มนี้มีการใช้เงินต่อหัวต่อคนเพิ่มขึ้น และให้มีการอยู่ในประเทศไทยให้นานขึ้น
โดยจะมีการปรับแผนในเรื่องของอีเวนต์ต่าง ๆ รวมถึงสร้างความประทับใจ สบายใจ และสร้างความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยวมากขึ้นด้วย
ไม่เพียงเท่านี้ ยังมองถึงการขยายระยะเวลายกเว้นการตรวจลงตรา หรือวีซ่าฟรี สำหรับบางประเทศด้วย โดยมองว่ามาตรการดังกล่าวเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งเชื่อว่ากระทรวงการต่างประเทศจะมีการประสานงานให้ทุกภาคส่วนดำเนินการต่อ
และจะเร่งส่งเสริมการท่องเที่ยว สานต่อความสำเร็จในการปรับโครงสร้างการตรวจลงตรา โดยเน้นการอำนวยความสะดวกเรื่องการตรวจลงตราสำหรับนักท่องเที่ยวกลุ่มต่าง ๆ ต่อไป
ต่อคำถามว่า เรื่องของการจัดเก็บค่าเหยียบแผ่นดิน 300 บาท สำหรับการเดินทางทางอากาศ และ 150 บาท สำหรับการเดินทางทางบกและทางน้ำ ที่ผ่านที่ชุมคณะรัฐมนตรีมานานแล้ว เมื่อไหร่จะได้ฤกษ์จัดเก็บสักที “สรวงศ์” บอกว่า ส่วนตัวเห็นด้วยว่าควรจะดำเนินการจัดเก็บ เนื่องจากเงินจำนวนดังกล่าวจะนำไปพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว รวมถึงการดูแลความปลอดภัยต่าง ๆ ของนักท่องเที่ยว
อย่างไรก็ตามประเด็นนี้ตนขอพิจารณาและศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมอีกครั้งว่าจะดำเนินการจัดเก็บอย่างไร และเมื่อไหร่
ส่วนเรื่องของการส่งเสริมอุตสาหกรรมท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ เพิ่มแหล่งท่องเที่ยวที่มนุษย์สร้างขึ้น หรือ Man-made Destinations เช่น สวนสนุก เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ รวมถึงการนำคอนเสิร์ต เทศกาล และการแข่งขันกีฬาระดับโลกมาจัดในไทยเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวและเม็ดเงินลงสู่ผู้ประกอบการในประเทศนั้นมองว่าต้องการให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้นเช่นกัน
โดยภาครัฐจะเป็นคนสนับสนุนและพร้อมสานต่อนโยบายต่อเนื่องจาก Ignite Tourism Thailand และเชื่อว่าผู้ประกอบการเอกชนพร้อมที่จะเข้ามาลงทุนในไทยอยู่แล้ว ซึ่งหลังจากนี้จะมีการพูดคุยกันมากขึ้น และต้องปรึกษากันว่าเราจะทำยังไงให้มีการเอื้อประโยชน์ให้กันได้ด้วย
“สรวงศ์” ยังบอกอีกว่า เช่นเดียวกับการขับเคลื่อน “เมืองน่าเที่ยว” ที่อยากให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมมากกว่านี้ ซึ่งต้องสร้างความมั่นใจให้กับภาคเอกชนในการเข้ามาลงทุนด้วย เช่น หากทำสัญญาร่วมกัน 5 ปี หรือ 10 ปี ก็จะสร้างความมั่นใจด้วยการให้สิทธิประโยชน์ในด้านภาษี เป็นต้น เพื่อช่วยให้นักลงทุนเกิดความมั่นใจ
รวมถึงเรื่องของการขยายสนามบินก็เป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งประเด็นนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการไปบ้างแล้ว
“ผมเองก็อยากจะเห็นเมืองไทยเป็นฮับด้านการท่องเที่ยว โดยจะมุ่งเน้นจังหวัดที่มีความพร้อมก่อน เห็นศักยภาพจังหวัดไหนสามารถดึงมาทำได้เลย”
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวฯคนใหม่ยังให้ข้อมูลเพิ่มเติมอีกว่า ในช่วง 4 เดือนสุดท้ายของปีนี้ ตนจะพยายามผลักดันงบประมาณสนับสนุนการท่องเที่ยวและกีฬาให้มีมากขึ้น รวมทั้งเตรียมนโยบายใหม่ ๆ ไว้อีกส่วนหนึ่งด้วย
เช่น การดึงกีฬาที่แปลกใหม่เข้ามาจัดในเมืองไทยให้มากขึ้น หรือการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ สำหรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาเพื่อการรักษาพยาบาลและดูแลสุขภาพ เพื่อให้ประเทศไทยเป็น “เมดิคอลฮับ” เป็นต้น
พร้อมทิ้งท้ายว่า ด้วยภาวะเศรษฐกิจและค่าเงินบาทที่แข็งค่าอยู่ในขณะนี้ถือเป็นความท้าทายหนึ่งในการขับเคลื่อนรายได้ท่องเที่ยวสู่เป้าหมายรายได้ 3 ล้านล้านบาทด้วย