เมื่อเวลา 12.25 น. วันที่ 14 พ.ย. 67 ที่ จ.อุดรธานี นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการขึ้นเวทีปราศรัยวันที่ 2 ช่วยผู้สมัครนายก อบจ.อุดรธานี พรรคเพื่อไทย(พท.) หาเสียงว่า ขึ้นอยู่กับคนฟัง ถ้าคนฟังเขาอยากฟัง ก็มีความสนุกสนาน ก็มีอารมณ์อยากจะพูดด้วย เมื่อถามว่า บุตรสาว น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯบอกเป็นห่วงสุขภาพ ลงพื้นที่แต่ละครั้งต้องใช้พลังงานเยอะ เหมือนเครื่องจะติดแล้ว นายทักษิณ กล่าวว่า ติด แค่หลับไปที่พักก็หมดแรงแล้ว
เมื่อถามว่า การที่ย้ำหลายครั้ง”ผมกลับมาแล้ว”อะไรที่เป็นปัจจัยใหม่ ให้ตัดสินใจกลับมาขึ้นเวทีทางการเมือง จากที่บอกว่าจะกลับมาเลี้ยงหลาน นายทักษิณ กล่าวว่า ไม่มีอะไรหรอก ก็อยากช่วยบ้านเมือง ในฐานะคนที่เคยเป็นอดีตนายกฯ และเป็นคนไทย มันก็อดไม่ได้ที่จะห่วงใยบ้านเมือง เห็นอะไรไม่ดีก็อดไม่ได้ จึงต้องตั้งตำแหน่งให้ตัวเอง ว่า “สทร.” (เสือกทุกเรื่อง) ด้วยความห่วงใย
เมื่อถามว่า ส่วนช่วงหนึ่งพูดถึงความสามัคคีพรรคร่วมรัฐบาล แต่ก่อนหน้านี้ก็มีกระแสว่า รัฐบาลอาจจะไปไม่รอดเรื่องสัมพันธภาพ อาจจะยุบสภาหลังจากตรุษจีนปีหน้า อยากให้ลองวิเคราะห์การเมืองให้ฟัง นายทักษิณ กล่าวว่า เอาวิเคราะห์นะก็คิดว่าน่าจะอยู่ครบเทอม ไม่น่าจะมีอะไรที่เป็นปัญหา พรรคร่วมเห็นต่างเป็นเรื่องธรรมดา แต่ถึงเวลาเขาก็คุยกันรู้เรื่องหมด นายกฯอิ๊งค์ก็เชิญแต่ละพรรคร่วมคุยกันทุกรู้เรื่องหมด
ผู้สื่อข่าวถามว่า คดีความต่างๆที่นายกรัฐมนตรีโดนร้องตรวจสอบ จะเป็นอุปสรรครัฐบาลไม่ นายทักษิณ กล่าวว่า ไม่เห็นมีอะไรเลย คือบ้านเรา กฎหมายอยู่ที่คนจะตีความ ถ้าคนอยากจะหาเรื่องมันก็คิดหาเรื่องทุกวัน ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ต้องให้ความสำคัญมาก เราทำอะไรให้ถูกต้อง ก็เท่านั้นแหละ
เมื่อถามต่อว่า ที่ปราศรัยใช้คำว่า “กฎหมายเฮงซวย ”ทำให้มีปัญหา มีคนขี้อิจฉา ตอนที่พูดนั้น คิดถึงเรื่องอะไร นายทักษิณ ตอบว่า ตนจำไม่ได้ แต่กฎหมายเรา ไปแก้โดยมองคนมากไป ช่วงนั้นเขากลัวตน พยายามเขียนกฎหมายกันนั่นกันนี่ แต่กันไปกันมาไม่ได้กันผมแค่คนเดียว กลายเป็นกันระบบ แทนที่จะมีคนมาช่วยทำงานให้บ้านเมือง คนตั้งใจและมีความปรารถนาที่ดี มีความคิดดีๆมาช่วยกัน ก็จะมีปัญหาเรื่องข้อกฎหมาย ฉะนั้นการเมืองก็กลายเป็นว่า ไม่มีใครอยากเข้ามา เมื่อไม่มีใครอยากเข้ามา เราก็ได้คนที่มีคุณภาพไม่พอ เข้ามาแก้ปัญหาประเทศ อันนี้สำคัญ โลกทั้งโลกกำลังพยายามระดมคนหัวดีๆมาช่วยกัน แต่บ้านเราบอกอันนี้ไม่ใช่พวกกูไปเถอะ พวก อันนี้พวกกูเท่านั้น อะไรแบบนี้มันไม่ได้ ต้องเห็นแก่ส่วนรวม
เมื่อถามว่าที่พูดบนเวทีว่ามีคนอิจฉาเยอะหมายถึงใคร หรือกลุ่มใด นายทักษิณกล่าวว่า ไม่รู้เหมือนกัน แต่รู้ว่าทุกคนเดาได้ การแข่งขันทุกอย่างต้องมีกติกา เมื่อจบการแข่งขันทุกคนต้องหันหน้าเข้าหากัน มีสปิริตความเป็นนักกีฬา ไม่ใช่บอกว่าบอลแข่งแพ้ แล้วควักปืนยิงอย่างนี้มันใช้ไม่ได้
เมื่อถามว่า การที่ระบุว่าโครงสร้างราชการเทอะทะเกินไป ควรจะแก้ไขอย่างไร นายทักษิณ กล่าวว่า ระบบราชการเราขยายในช่วงที่ตนไม่อยู่ 17 ปี ส่วนราชการที่มากคือส่วนภูมิภาค ซึ่งเยอะเกินไป แทนที่จะกระจายอำนาจให้ประชาชนมีอำนาจมากขึ้น เรากลับไปเพิ่มอำนาจให้ภาครัฐไปเป็นคนคุมใกล้ๆประชาชน ก็คือส่วนภูมิภาค ซึ่งทำให้ค่าใช้จ่ายสูง ระบบราชการเทอะทะ และประชาชนไม่มีสิทธิ์มีเสียงสักที
เมื่อถามว่า ที่พูดว่ากลางปีประเทศไทย จะมีแสงสว่าง จะมีอะไร นายทักษิณกล่าวว่า เชื่อว่างานที่นายกฯคุยกับตนจะเริ่มเห็นความชัดเจนขึ้น ซึ่งนายกฯจะพูดก่อนสิ้นปีนี้ มีความชัดเจนขึ้นจะเริ่มเห็นปลายปี และก็จะสัมฤทธิ์ผลแทบทุกอย่าง ทั้งการกระตุ้นเศรษฐกิจและการแก้ไขปัญหายาเสพติด รวมถึงการแก้ไขปัญหาการบริหารราชการแผ่นดิน
เมื่อถามว่า กรณีที่พูดถึงเรื่องความเท่าเทียมและโอกาส พอระบุเจตจำนงนิดหนึ่งได้หรือไม่ เราจะสามารถคืนความยุติธรรมให้กับนักโทษคดีการเมืองได้อย่างไร นายทักษิณ กลาวว่า เรื่องนี้มันมีความซับซ้อนหลายอย่าง จริงๆแล้วเรื่องการเมืองตั้งแต่ตนโดนปฏิวัติ ก็ไล่ห้ำหั่นการทางการเมือง จนนายกฯยิ่งลักษณ์โดนปฏิวัติเหมือนกันอีก หลังจากนั้นก็ผสมโรงด้วยคนต่างๆ ซึ่งวันนี้ตนจะพูดบนเวทีปราศรัยมากขึ้น เพื่อจะได้เห็นความชัดเจนขึ้น
เมื่อถามว่า ส่วนกรณีการนิรโทษกรรม ที่ดูเหมือนว่า พรรคร่วมรัฐบาลไม่เห็นด้วยในการนิรโทษความผิดอาญามาตรา 110 และ มาตรา 112 นายทักษิณ กล่าวว่า คดี 112 เป็นเรื่องที่พรรคร่วมรัฐบาลให้สัตยาบันกันไว้ว่าเราจะเทิดทูนสถาบัน จะไม่แตะเรื่อง 112 แต่ความจริงๆแล้ว ตัวมาตรา 112 ปัญหามันอยู่ที่การบังคับใช้กฎหมาย ตนก็เป็นเหยื่อรายหนึ่ง สมมุติว่าคนที่รับคดีครั้งแรกบอกว่าเดี๋ยวจะหาว่าไม่จงรักภักดี ก็ฟ้องไปก่อน ทั้งๆที่หลักฐานไม่มี คนที่สองบอกว่าถ้าไม่ฟ้อง เดี๋ยวโดนอีก ก็ฟ้องๆมา โดยที่ไม่ได้ดูความถูกต้องของพยานหลักฐาน เลยทำให้การจงรักภักดีลักษณะนี้ไม่ถูกต้อง การจงรักภักดีที่ถูกต้องคือการรักษากฎหมายที่เกิดความเป็นธรรม ต้องแก้ไข แต่ก็ไม่ง่าย ต้องใช้เวลา
เมื่อถามย้ำว่า ในสมัยหน้าร่างพ.ร.บ. นิรโทษกรรม มีโอกาสจะเกิดขึ้นหรือไม่ โดยที่พรรคปชน.และพรรคพท.จับมือกันไหม นายทักษิณ กล่าวว่า ตนไม่อยากไปให้ความเห็นในเรื่องนี้ เพราะไม่อยากมีบทบาท เดี๋ยวจะหาว่าเพราะคนนั้นเพราะคนนี้ ถ้าเราอยู่บนหลักการ ทุกอย่างมีทฤษฏีของมันเอง มันจะไม่เป็นอย่างนี้ แต่เนื่องจากเราไปตีว่า พวกใครพวกมันมากเกินไป มันถึงได้เป็นปัญหา ถ้าเมื่อไหร่จิตใจนิ่ง สงบ คิดถึงหลักการเป็นหลัก ไม่คิดถึงพวกใครพวกมัน มันจะดีขึ้นเยอะ
เมื่อถามว่า อะไรที่ทำให้ข้อหาไม่จงรักภักดีใช้ได้ผลเสมอในทางการเมือง นายทักษิณ กล่าวว่า การเมือง ดูตนโดนหนักที่สุด ทั้งที่ถวายงานที่สุด แต่ด้วยความหมั่นไส้ เมื่อถามว่า บริบทต่างกันอย่างไรระหว่างรัฐประหารปี 49 และปี 57 จนถึงการที่พรรคการเมืองโดนยุบพรรค เพราะมีนโยบายแก้ไขมาตรา 112 นายทักษิณ กล่าวว่า ตนเคยคุยกับนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า บอกว่าตนก็โดน 3 พรรค และไปอยู่เมืองนอกตั้ง 17 ปี ฉะนั้นขอให้เราช่วยกันทำงานให้บ้านเมืองเป็นหลัก อย่าไปพยายามรื้อโครงสร้างมากเกินไป ถ้าเราแก้ปัญหาด้วยหลักการ และเอาบ้านเมืองให้อยู่ได้ มันจะดีที่สุด ไปคิดถึงสิ่งที่มีอยู่ สิ่งที่ประชาชนคนไทยเคารพนับถือ ซึ่งเป็นโครงสร้างสำคัญของสถาบัน เราต้องจรรโลงอย่างเดียว ตนไม่ได้บอกว่านายธนาธรหรือพรรคก้าวไกล(ก.ก.)จะไม่จงรักภักดี แต่ต้องมีวิธีการที่ยึดหลักให้ถูกต้องของบ้านเมือง อย่าไปมุ่งหาเสียง บางทีจุดโฆษณามันอันตรายกว่าความตั้งใจจะทำ
เมื่อถามว่า ถ้าจะแก้ปัญหาเรื่องนี้ นายทักษิณ กล่าวว่า ต้องทำตามหลักการของกฎหมาย กฎหมายไม่ดีก็ต้องแก้กฎหมายไปทีละสเต็ป ไม่ใช่อยู่ๆกฎหมายไม่ดีก็จะบอกว่าต้องไม่ทำเลย ไม่ได้ กฏหมายมีอยู่ก็ต้องเคารพ
นายทักษิณ ได้กล่าวเพิ่มเติมถึงกรณีที่เคยให้สัมภาษณ์ที่วัดคลองครุว่าแกนนำพรรคร่วมรัฐบาล เข้าไปที่บ้านจันทร์ส่องหล้าเพื่อกินมาม่าว่า “ผมบอกแล้วว่ามาม่าอร่อย ผมโฆษณาให้มาม่า ”
เมื่อถามว่าระหว่างดูแลครอบครัวชินวัตร และพรรคพท.ให้ยิ่งใหญ่จะต้องทำอย่างไร นายทักษิณ กล่าวว่า ไม่ต้องทำอะไรเลย