ถือเป็นทายาทรุ่นที่สองที่น่าจับตาอีกคนหนึ่ง สำหรับ “ตั๊บ-ตวงรัตน์ ลิขิตพฤกษ์” กรรมการผู้จัดการ บริษัท เบนซ์ บีเคเค กรุ๊ป จำกัด ลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของ “เหรียญชัย ลิขิตพฤกษ์” ผู้ก่อตั้งกลุ่มบริษัท บีเคเค กรุ๊ป ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์หลากหลายยี่ห้อ
วันนี้ “ประชาชาติธุรกิจ” มีโอกาสสัมภาษณ์พิเศษ และร่วมพูดคุยกับผู้บริหารรุ่นใหม่ ถึงโอกาสและทิศทางในการขับเคลื่อนอาณาจักร “บีเคเค กรุ๊ป” ในช่วงที่คลื่นลมและมรสุมการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมยานยนต์บ้านเรากำลังเชี่ยวกราก
ก่อนเข้ามารับหน้าที่ผู้บริหารอย่างเต็มตัว “ตวงรัตน์” เล่าย้อนว่า หลังจากจบมัธยมฯ ที่โรงเรียนวัฒนาฯ ได้ไปศึกษาต่อยังประเทศอังกฤษ จบไฮสกูลที่ Harrogate Ladies’ College ที่ Yorkshire ก่อนจะเข้ามาศึกษาต่อด้านวิศวกรรมโยธาที่ Civil Engineering ที่ Cardiff University จากนั้นก็กลับเข้ามาสานต่อธุรกิจที่ บีเคเค กรุ๊ป
เริ่มต้นวันแรก ๆ ของการทำงานนั้น ต้องไปเรียนอบรมการขายตั้งแต่พื้นฐาน จากนั้นต้องมานั่งฝึกฝน คำนวณ แม้จะเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่หากต้องการสร้างการยอมรับต้องทำทุกเรื่อง คิดดูเราอายุแค่ 22-23 ปี เพิ่งเรียนจบจะมาสานต่อธุรกิจครอบครัว แล้วพนักงานหรือระดับบริหารที่อยู่มายาวนานกว่าล่ะ ถ้าต้องการได้การยอมรับเราก็ต้องเจ๋งกว่าเขา
ดังนั้น สิ่งแรกที่ต้องทำคือเรียนรู้ บอกกับตัวเองตลอดว่าต้องทำให้ได้ และเมื่อสะสมประสบการณ์ในแต่ละด้านเพียงพอก็เริ่มลุยทันที แต่ละวันมีเรื่องพัฒนาและปรับปรุงเยอะ
ตวงรัตน์เล่าว่า “เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ล้วนแต่มีผลทั้งสิ้น สำหรับการดูแลและความใส่ใจลูกค้า”
เธอเล่าว่า อาหารว่างที่มีไว้เสิร์ฟในโชว์รูมจะหาคนชมเราทั้ง 100% ไม่มีในโลกหรอก เราก็ต้องเรียนรู้ หาวิธี และกระบวนการแก้ไข เพื่อดูแลลูกค้าให้ได้รับความพึงพอใจสูงสุด
ปัจจุบัน บีเคเค กรุ๊ป เป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์หลากหลายแบรนด์ ทั้งเมอร์เซเดส-เบนซ์, ฟอร์ด, นิสสัน, BYD และ ฟูโซ่ มีโชว์รูมและศูนย์บริการอยู่รวมกันไม่น้อยกว่า 40-41 แห่ง ทั้งในกรุงเทพฯ 16 แห่ง และต่างจังหวัด 17 แห่ง
ส่วนเป้าหมายในปีนี้หลัก ๆ จะมุ่งเน้นไปที่การขยายแบรนด์ใหม่ ๆ อย่างรถยนต์ไฟฟ้า BYD ที่จะลงทุนเพิ่มโชว์รูมอีกอย่างน้อย 2-3 แห่ง ซึ่งใช้งบประมาณไม่น้อยกว่า 20-30 ล้านบาท และอีกราว ๆ 80 ล้านบาทสำหรับแบรนด์ใหม่ที่จะเข้ามาทำตลาดอย่างแบรนด์ DENZA (รถตู้ผู้บริหาร EV) คาดว่าจะต้องมีการลงทุนเพิ่มเติมอีก เพราะเป็นแบรนด์พรีเมี่ยมของ BYD ซึ่งหลัก ๆ จะเป็นการลงทุนในพื้นที่กรุงเทพฯ เหตุที่เราลงทุนไม่สูงมาก เพราะจะเป็นการปรับปรุง รีโนเวตโชว์รูมเดิมที่มีอยู่มาใช้ ทำให้ทั้งปี บีเคเค กรุ๊ป เราใช้งบประมาณในการลงทุนไม่เกิน 300 ล้านบาท
ขณะที่รถยนต์มือสองนั้น ปัจจุบันมีแบรนด์เมอร์เซเดส-เบนซ์ อนาคตมีแผนที่จะทำ BYD เพิ่มเข้ามาด้วย เพื่อเป็นการขยายบริการให้สามารถรองรับกับความต้องการของลูกค้าได้อย่างครอบคลุม
นอกจากโอกาสในการขยายของธุรกิจด้านยานยนต์แล้ว “ตวงรัตน์” ยังฉายภาพว่าภายใต้เครือของบีเคเค กรุ๊ป นั้น ยังมีธุรกิจ คอนโดฯ, ทาวน์โฮม, คอมมิวนิตี้ มอลล์ อยู่ในมืออีก
อนาคตยังคงมองหาโอกาสที่ขยับขยาย ต่อยอดธุรกิจ แตกไลน์ไปสู่ธุรกิจอื่น โดยเฉพาะธุรกิจไลฟ์สไตล์ ไฮลักเซอรี่ ซึ่งถ้าสามารถสร้างให้เกิดอีโคโนมีออฟสเกลได้ก็น่าจะเป็นโอกาส
และเมื่อถามถึงเป้าหมายและความท้าทาย “ตวงรัตน์” บอกว่าสิ่งสำคัญคือ ต้องการสร้างซักเซสเซอร์ เพราะในอนาคตเธอวางแผนว่าจะผันตัวเองไปเป็นที่ปรึกษา ดังนั้นจะต้องมีการสร้างคนขึ้นมาเพื่อรันธุรกิจต่อเนื่องไปให้ได้จริง แม้ว่าจะเป็นธุรกิจ “ครอบครัว”
ดังนั้น พนักงานที่ทำงานอยู่กับ บีเคเค กรุ๊ป สามารถจะมีโอกาสทำงานและเติบโตในสายงานไปพร้อม ๆ กับบริษัทได้ เช่นเดียวกัน เพื่อไปสู่ความยั่งยืนของธุรกิจ ทุกคนมีส่วนร่วม มีความเป็นเจ้าของร่วมกัน
ทุกคนสามารถที่แชร์ประสบการณ์ร่วมกัน คุย และแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ร่วมกันในทุก ๆ เคส ด้วยทรรศนะที่มองว่าทุกปัญหาคือบทเรียนที่จะทำให้ บีเคเค กรุ๊ป สามารถเติบโตต่อไปได้อย่างแข็งแกร่ง ไกลกว่ารุ่นพ่อ รุ่นอา ทำไว้