กว่า 40 ปีที่ “ธีระพงศ์ ปังศรีวงศ์”ทายาทของ ดร.ภก.เกษม ปังศรีวงศ์ นักธุรกิจขายยาและเวชภัณฑ์ ภายใต้บริษัท เกษมกิจ จำกัด ลงทุนบุกเบิกธุรกิจโรงแรม รีสอร์ต และบริการด้านอาหาร ด้วยการลงทุนเปิดโรงแรม “เคปพันวา ภูเก็ต” เป็นแห่งแรกของเครือ CAPE & KANTARY HOTELS
วันนี้ เครือเคป แอนด์ แคนทารี โฮเทลส์ มีโรงแรมในเครือรวมกว่า 20 แห่ง โดยรุ่นลูกทยอยเข้ามาช่วยบริหารงานแล้ว คือ “คุณแวว-ธีรวัลคุ์ เตชะอุบล” ลูกสาวคนโต รวมถึง “คุณไผ่-พงศ์วรุตม์ ปังศรีวงศ์” ที่ได้เข้ามาช่วยกันสานต่อธุรกิจครอบครัวแล้ว
“ประชาชาติธุรกิจ” ได้ร่วมสัมภาษณ์ “พงศ์วรุตม์ ปังศรีวงศ์” เจ้าของและผู้บริหารกลุ่มบริษัทเครือเกษมกิจ (โรงแรมในเครือ เคป แอนด์ แคนทารี โฮเทลส์) ถึงบทบาทหน้าที่หลังเข้ามาช่วยสานต่อธุรกิจครอบครัว รวมถึงทิศทางในการขับเคลื่อนธุรกิจโรงแรม รีสอร์ตในอนาคต
“พงศ์วรุตม์” บอกว่า เข้ามาช่วยบริหารธุรกิจโรงแรมแบบเต็มตัวตั้งแต่ปี 2019 โดยดูแลทุกพร็อพเพอร์ตี้ในเครือ ทำทุกอย่างที่คุณพ่อ (ธีระพงศ์ ปังศรีวงศ์) ให้ทำ ทั้ง F&B (Food and Beverage Service) งาน Operation งานจัดซื้อ ฯลฯ
“ผมจบด้านรัฐศาสตร์ ประวัติศาสตร์ และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ไม่มีความรู้เรื่องฝั่งโรงงานยาและเวชภัณฑ์ เลยเลือกช่วยงานในฟากของโรงแรม”
พร้อมบอกด้วยว่า หลังเข้ามาช่วยงานได้ปีเดียวก็เจอวิกฤตโควิด ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ธุรกิจเหนื่อยมาก ๆ ได้เข้ามาช่วยดูแลในเรื่องของการลดค่าใช้จ่าย เพราะธุรกิจเวลานั้นต้องลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น อะไรขายได้ก็ขายออกไปก่อน รวมถึงเรื่องอื่น ๆ เช่น เจรจากับประกันสังคม เรื่องภาษี ฯลฯ
“พงศ์วรุตม์” ย้อนความว่า หลังจากที่เรียนจบระดับปริญญาตรีด้านการเมือง เศรษฐกิจ และประวัติศาสตร์ จาก Princeton University ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้เริ่มต้นชีวิตทำงานในฐานะ Business Strategy Analyst ที่บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) ก็ทำงานเป็นพนักงานปกติ
แต่พอเข้ามาสานต่อธุรกิจครอบครัวในฐานะผู้บริหาร พออยู่ในตำแหน่งผู้บริหารมองว่ามี 2 เรื่องที่สำคัญที่สุดที่ต้องเรียนรู้ คือ 1.ต้องมีวิสัยทัศน์ มีไอเดีย และ 2.ต้องใช้คนเป็น ซึ่งต่างจากตอนเป็นพนักงานทั่วไป
ต่อคำถามว่าทิศทางการบริหารในอนาคตข้างหน้าวางไว้อย่างไร “พงศ์วรุตม์” บอกว่า ส่วนตัวมีวิชั่นอยากขยายธุรกิจในตลาดอีกรูปแบบหนึ่ง โดยมองว่ารายได้ที่ดีของกลุ่มธุรกิจโรงแรมนั้นมาจากส่วนของลักเซอรี่โปรดักต์ คือ ส่วนของโรงแรมขนาดเล็ก แต่มีความเป็นบูทีค และลักเซอรี่ โรงแรมแบบนี้บริหารง่าย รักษาคุณภาพได้ดี และสามารถทำราคาห้องพักได้ดีกว่า
ดังนั้น แนวทางที่เขาโฟกัสให้มากขึ้นในอนาคตข้างหน้าคือ ลงทุนในโรงแรมที่เป็นไฮเอนด์ และเป็นโรงแรมขนาดเล็กมากกว่า ส่วนโรงแรมที่เป็นแบรนด์ “แคนทารี” และ “คามิโอ” ที่มีอยู่แล้วก็ยังต้องบริหารต่อไป เพราะเป็นธุรกิจที่ได้เรื่อย ๆ ไม่ค่อยมีโลว์ซีซั่น และค่าใช้จ่ายไม่สูงมาก
“ผมเชื่อว่าธุรกิจฮอสพิทาลิตี้ และทัวริซึ่มของประเทศไทยมีแนวโน้มเติบโตดี เนื่องจากภาคการท่องเที่ยวของประเทศไทยมีการเติบโตทุกปี ขณะที่หลายประเทศมีปัญหาด้านการเมือง ซึ่งก็น่าจะทำให้นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกเข้ามาเที่ยวในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น”
สำหรับแผนการลงทุนในอนาคตนั้น “พงศ์วรุตม์” บอกว่า ระยะสั้นยังเป็นการขยายการลงทุนขนาดเล็ก เช่น ลงทุนเพิ่มเติมในโครงการที่เปิดให้บริการอยู่แล้ว และอาจมีโครงการใหม่แต่ยังเป็นการลงทุนโรงแรมขนาดเล็ก เช่น ลงทุน 30 ห้อง ที่เกาะสีชัง (ชลบุรี)
ส่วนโครงการขนาดใหญ่ที่อยู่ในแผนอยู่แล้วคือ โครงการลงทุนโรงแรมแห่งใหม่ที่พัทยา (ชลบุรี) บนพื้นที่ 15 ไร่ (ติดกับศูนย์การค้าเซ็นทรัล เฟสติวัล) ซึ่งตามแผนที่วางไว้นั้นในพื้นที่นี้จะมีโรงแรม 2 แห่ง เป็นแบรนด์ “เคป” ซึ่งเป็นลักเซอรี่ 1 แห่งอยู่บริเวณด้านหน้า และแบรนด์ “แคนทารี” 1 แห่ง เป็นโรงแรมใหญ่ตั้งอยู่ด้านหลัง มีบีชคลับ และศูนย์การค้า ปัจจุบันอยู่ระหว่างการยื่นขอการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือ EIA
โครงการดังกล่าวนี้เป็นการลงทุนขนาดใหญ่ 4,000-5,000 ล้านบาท จึงต้องค่อย ๆ คิด ไม่รีบมาก
นอกจากนี้ ยังเป็นโครงการที่มีพันธมิตรที่จะเข้ามาร่วมลงทุนในส่วนของบีชคลับและศูนย์การค้า ซึ่งได้เจรจากันแล้ว ตอนนี้รอเซ็นสัญญาอย่างเป็นทางการเท่านั้น
“พงศ์วรุตม์” ยังบอกด้วยว่า ทุกโครงการที่ลงทุนกลุ่มบริษัทจะเป็นเจ้าของเอง และบริหารเองทั้งหมด 100% อาจจะเป็นรูปแบบที่ทำให้การขยายงานช้าแต่มองว่าเป็นรูปแบบที่มีความมั่นคงสูง เพราะมีอำนาจในการบริหารจัดการทุกอย่าง
ที่สำคัญ มองว่าด้วยแบรนด์ที่มีอยู่นี้สามารถแข่งขันกับเครือบริหารอื่น ๆ ได้ เพราะเชื่อว่านักท่องเที่ยวทั่วโลกต้องการประสบการณ์ใหม่ ๆ และต้องการความเป็นโลคอล ซึ่งเป็นเสน่ห์ของแบรนด์ไทย
“ผมว่านักท่องเที่ยวในวันนี้ไม่ได้ต้องการอะไรที่เหมือนกัน การบริหารโดยเชนอินเตอร์ทำให้โรงแรมในกรุงเทพฯ เหมือนกับโรงแรมที่ภูเก็ต หรือเหมือนกับโรงแรมที่นิวยอร์ก ไปที่ไหนเราก็จะเจออะไรที่เหมือนกัน แต่การบริหารด้วยแบรนด์ของตัวเองนั้นทำให้เรามีจุดขายที่ชัดเจน ซึ่งเรามองเป็นจุดแข็ง”
พร้อมอธิบายว่า เสน่ห์ของ “เคป” คือ การมีดีไซน์ มีความเป็นบูทีคที่ไม่เหมือนเชนอินเตอร์ ซึ่งที่ผ่านมาโรงแรมของกลุ่มเคปฯ ได้รับรางวัลระดับโลก ซึ่งล้วนมาจากความแตกต่างที่ไม่ใช้บิ๊กเนม ขณะที่ที่ตั้งก็อยู่โลเกชั่นที่ดีด้วย