เข้าสู่โค้งสุดท้ายปลายปี 2567 แล้ว แต่รายได้รวมของภาคท่องเที่ยวไทยอาจไม่ถึง 3 ล้านล้านบาทตามเป้าหมายที่วางไว้ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลโดยกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ยังหวังว่าเทศกาลต่าง ๆ ในช่วงท้ายของปีนี้จะทำให้ตัวเลขจบสวย
ด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวที่ 36 ล้านคนจากเป้าหมาย 35 ล้านคน และภาวนาให้สร้างรายได้ได้ใกล้เคียงกับเป้าหมาย
โดยนักท่องเที่ยวจีนยังคงเป็นอันดับ 1 ที่มาเยือนประเทศไทย แต่ก็ยังคงห่างเป้าหมายเช่นกัน กล่าวคือ จากที่ตั้งเป้าไว้ที่ 7.3 ล้านคน ปัจจุบัน (ข้อมูล ณ วันที่ 14 พฤศจิกายน 2567) ยังอยู่ที่ 5.9 ล้านคน
จากปรากฏการณ์นี้ 3 แม่ทัพหลัก นำโดย “สรวงศ์ เทียนทอง” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา “นัทรียา ทวีวงศ์” ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวฯ ประธานกรรมการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และ “ฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์” ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ผนึกกำลังนำเอกชนไทยบินข้ามน้ำข้ามทะเลเกือบ 4 พันกิโลเมตร เพื่อร่วมงาน China International Travel Mart 2024 (CITM2024) ระหว่าง 22-24 พฤศจิกายน 2567 ที่ผ่านมา ณ นครเซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีน
พร้อมพบปะหารือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวจีน และภาคเอกชนจีน เพื่อเชื้อเชิญชาวจีนมาเที่ยวเมืองไทย โดยมีเป้าหมายทำให้ภาคการท่องเที่ยวไทยในปี 2568 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติทะลุ 40 ล้านคนและสร้างรายได้รวมที่ 3.4 ล้านล้านบาทได้ตามเป้าหมายรัฐบาล
จากข้อมูลของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ระบุว่า ประเทศไทยมีจำนวนนักท่องเที่ยวจีนสะสมตั้งแต่ 1 มกราคม-14 พฤศจิกายน 2567 ทั้งสิ้น 5,925,147 คน จากเป้าหมาย 7,389,900 คน
“สรวงศ์ เทียนทอง” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา บอกว่าสาเหตุที่ทำให้ตัวเลขนักท่องเที่ยวชาวจีนปีนี้พลาดเป้าจาก 3 ปัจจัยหลัก ๆ ประกอบด้วย 1.รัฐบาลจีนรณรงค์ไม่ให้ประชาชนเดินทางออกนอกประเทศ และส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศ ซึ่งต่างจากก่อนช่วงสถานการณ์โควิดระบาดที่รัฐบาลจีนเปิดให้ประชาชนเดินทางได้เต็มที่
2.ปัญหาเฟกนิวส์ข่าวอาชญากรรมต่าง ๆ ทำให้ชาวจีนไม่กล้าเดินทางมาประเทศไทย และ 3.ที่ผ่านมาหลายประเทศทั่วโลกเจอสถานการณ์ภัยธรรมชาติ รวมถึงประเทศไทยและจีน โดยเฉพาะช่วงเดือนกันยายน-ตุลาคม ที่สถานการณ์อุทกภัยรุนแรง ทำให้ห้องพักและเที่ยวบินถูกยกเลิกจำนวนมาก จนทำให้ภาคท่องเที่ยวสะดุด แต่ขณะนี้สถานการณ์เริ่มคลี่คลายกลับมาบ้างแล้ว
โดยปัจจุบันนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่เดินทางมาไทยมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ จีน มาเลเซีย อินเดีย เกาหลีใต้ และรัสเซีย
“สรวงศ์” บอกด้วยว่า การเดินทางไปนครเซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีนครั้งนี้ ได้ร่วมหารือกับผู้บริหารหน่วยงานด้านการท่องเที่ยวของรัฐบาลจีน และภาคเอกชนถึงการป้องกันแก้ปัญหาข่าว ซึ่งไทยและจีนได้ขอให้ประสานความร่วมมือช่วยเหลือชี้แจงเรื่องข่าวสารต่าง ๆ ต่อกัน ควบคู่กับการดูแลชาวจีนในเมืองไทย
โดยทางไทยยืนยันจะกำชับการทำงานของตำรวจท่องเที่ยวให้ได้มาตรฐานมากขึ้น เพื่อดูแลนักท่องเที่ยว รวมถึงนำเทคโนโลยี AI มาใช้มากขึ้น ขณะที่ รมว.ท่องเที่ยวจีนรับปากจะช่วยประสานเพื่อสร้างความเข้าใจของชาวจีนต่อประเทศไทย
นอกจากนี้ ยังหารือกับผู้อำนวยการ ททท.ชุดเก่าและชุดใหม่ทั้ง 5 สำนักงานในจีน (เซี่ยงไฮ้, กว่างโจว, เฉิงตู, คุนหมิง และปักกิ่ง) ได้สั่งการให้ไปดำเนินการหาวิธีกระตุ้นดึงดูดนักท่องเที่ยวจีนที่มีกำลังซื้อสูง (High Spender) ให้เพิ่มขึ้น
“หากเจาะตลาดนักท่องเที่ยวจีนกำลังซื้อสูงได้เพียงหนึ่งหรือสองกลุ่ม จนเกิดความประทับใจหลังมาเที่ยวเมืองไทย ก็จะทำให้เกิดการบอกต่อ และสนใจเดินทางกลับเข้ามาเพิ่มมากขึ้น”
ขณะเดียวกัน ภาคการท่องเที่ยวของไทยจะส่งเสริมเมืองน่าเที่ยวแห่งใหม่ ๆ เพื่อเป็นตัวเลือกที่เพิ่มขึ้นให้นักท่องเที่ยว อย่างเช่น เกาะหมาก เกาะกูด จังหวัดตราด ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวยังไม่ค่อยได้สัมผัสเท่าไหร่
“ผมพยายามกำชับกับกระทรวง ททท.ว่าหลังจากนี้จะต้องหาวิธี ว่าจะขายเรื่องท่องเที่ยวอย่างไรให้ปัง”
ส่วนการฟื้นฟูการท่องเที่ยวจีนแบบ “กรุ๊ปทัวร์” อย่างที่เคยได้รับความนิยมก่อนโควิดนั้น “สรวงศ์” บอกว่า จากการหารือ ผอ.ททท. ทั้ง 5 สำนักงานในจีน ทุกสำนักงานได้พยายามอย่างยิ่งที่จะดึงลูกค้ากลุ่มนี้กลับมา แต่ด้วยนโยบายจีนที่ไม่ส่งเสริมให้คนออกนอกประเทศ จึงเป็นโจทย์ที่ท้าทายอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นก็พยายามดำเนินการอยู่ ซึ่งขณะนี้มีทยอยกลับเข้ามาเป็นแบบกลุ่มเล็ก ๆ 8-10 คน ท่องเที่ยวโดยใช้รถตู้ แต่ยังไม่ใช่กลุ่มใหญ่แบบรถบัส 40-50 คนเหมือนเมื่อก่อน ดังนั้น จึงต้องเร่งพยายามเน้นกลุ่มนักท่องเที่ยวกำลังซื้อสูงควบคู่กันไปด้วย ซึ่งหลังจากนี้จะพยายามไปหาวิธี
ขณะที่ “ฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์” ผู้ว่าการ ททท. เพิ่มเติมว่า จากการหารือพูดคุยกับเอเย่นต์สายการบิน มีความเห็นไปในแนวทางเดียวกัน ว่าจะร่วมกันดึงดูดนักท่องเที่ยวจีนให้มามากขึ้น พร้อมยืนยันว่าจะพยายามนำนักท่องเที่ยวจีนเข้ามาเมืองไทยเพิ่มขึ้น
“สถานการณ์อาจยังไม่กลับมา 100% แต่ขอให้กลับมา 90% ก็ดีแล้ว โดยกำหนดเป้าหมายปี 2568 อยู่ที่ 8.8 ล้านคน แต่เราอยากได้ 9 ล้านคน อย่างไรก็ตาม คงต้องดูสถานการณ์เศรษฐกิจควบคู่กันไปด้วย”
ด้าน “นัทรียา ทวีวงศ์” ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวฯ และประธานบอร์ด ททท. ยอมรับว่าตลาดจีนถือเป็นโจทย์ยากสำหรับการท่องเที่ยวไทย แม้ที่ผ่านมาจำนวนการเดินทางมาไทยมีมาก แต่ก็ไม่ได้สร้างมูลค่ารายได้มากตามจำนวน
พร้อมยอมรับว่าตกใจ กรณีบางบริษัททัวร์จีนขายท่องเที่ยวไทยราคาเพียงหมื่นบาท รวมราคาที่พักและตั๋วเครื่องบิน จึงมองว่าไม่คุ้มกับทรัพยากรของประเทศไทยที่เสียไป ฉะนั้น จำเป็นต้องเร่งเปลี่ยนกลยุทธ์ โดยต้องมุ่งดึงนักท่องเที่ยวจีนกำลังซื้อสูง
“การมุ่งหวังเจาะตลาดกลุ่มนี้นั้น เบื้องต้นจะต้องมีฐานข้อมูลที่แม่นยำก่อน โดยเฉพาะการศึกษาพฤติกรรมนักท่องเที่ยวทุกกลุ่ม ทุกแบบ และทุกประเทศ เพื่อเป็นฐานข้อมูลสำหรับนำมาวิเคราะห์ และนำมาออกแบบแพ็กเกจและมาตรการส่งเสริมท่องเที่ยวไทย เพื่อจูงใจนักท่องเที่ยวจีนที่มีกำลังซื้อสูง”
ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวฯ บอกอีกว่า สิ่งแรกที่อยากทำหลังเข้ามารับตำแหน่งปลัดกระทรวง จากนี้คือจะดำเนินการรวบรวมข้อมูลพฤติกรรมนักท่องเที่ยวทุกแบบ ที่ขณะนี้กระจัดกระจายในหลายหน่วยงาน ให้รวบรวมเป็นฐานข้อมูลกลาง เพื่อสะดวกง่ายต่อการนำมาวิเคราะห์ เพื่อดำเนินการจัดกิจกรรมให้เจาะถูกกลุ่มตลาดแบบพุ่งเป้า โดยขณะนี้เริ่มแล้ว อยู่ระหว่างการพูดคุยออกแบบ
“ทุกคนกังวลเรื่องจำนวน แต่เรากังวลเรื่องรายได้ที่จะกลับคืนมามากกว่าว่าจะให้เขาใช้จ่ายอย่างไรให้เป็นไปตามเป้า เพราะถ้าเราทำอะไรโดยไม่มีฐานข้อมูลแม่นยำ ทำผิดทิศผิดทาง ก็เสียงบประมาณเปล่า ฉะนั้น ควรมีฐานข้อมูลเพื่อนำมาใช้ประโยชน์มากกว่า”
พร้อมย้ำว่า ขณะเดียวกัน ต้องกลับมาพัฒนาตัวเองด้วย อย่างสถานที่ท่องเที่ยวบางแห่งเปิดดำเนินการมาเกิน 10 ปีแต่ไม่มีการพัฒนา ฉะนั้น สิ่งหนึ่งที่กระทรวงการท่องเที่ยวฯ จะต้องทำคือ พัฒนาปรับปรุงแหล่งท่องเที่ยวให้เพิ่มมูลค่า เช่น สุขาควรทำให้ดีขึ้น การจัดสรรสถานที่ร้านค้าต้องทำให้สะอาดและมีความน่าสนใจ
เรียกว่าทุกอย่างต้องบูรณาการกัน รวมถึงเรื่องความปลอดภัยก็ควรได้รับการแก้ไข เพื่อสร้างความมั่นใจให้นักท่องเที่ยวอยากเดินทางเข้ามาประเทศไทย