ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ / ทหารประชาธิปไตย
เบื้องหลังการล่มสลายของซีเรียมีผู้เล่นที่ควบคุมเกมส์อยู่ 3 ราย และผู้อยู่เบื้องหลังที่เป็นผู้จ่ายเงินกระเป๋าหนักอีก 2 ราย นั่นคือ สหรัฐฯ ตุรเคีย และอิสราเอล ส่วนผู้จ่ายเงินเบื้องหลังคือ ซาอุดิอารเบียและ กาตาร์ โดยทั้ง 5 ประเทศมีวัตถุประสงค์ตรงกันที่จะกำจัดอิทธิพลของรัสเซีย และอิหร่านออกไปจากซีเรีย แต่เนื่องจากแต่ละประเทศตัวการต่างก็มีผลประโยชน์แอบแฝงของตนเอง จึงจะมีผลทำให้ซีเรียต้องถูกแยกเป็นชิ้นๆหรือรัฐเล็กๆตามผลประโยชน์ที่แต่ละฝ่ายต้องการ แต่ง่ายต่อการควบคุม คือ แบ่งแยกและปกครอง
ประการแรกสหรัฐต้องการสนับสนุนเคิร์ดที่ตนให้การสนับสนุนมาตลอดได้จัดตั้งประเทศและคอยเป็นรัฐกันชน อิหร่านทางตะวันออกเฉียงเหนือของซีเรีย
ประการที่สองตุรเคียไม่เห็นด้วยกับการมีรัฐเคิร์ด แต่ต้องการมีผลประโยชน์ในการควบคุมซีเรียทางตะวันตก และภาคเหนือ และเพื่อคานอำนาจสหรัฐฯ ก็จะยินยอมให้รัสเซียได้คงฐานทัพไว้ทั้งทางทะเลที่ทาทุส ฐานทัพอากาศที่ฮมามิม ลาตาเกีย
ประการที่สามอิสราเอลต้องการครอบครองที่ราบสูงโกลัน ทั้งหมดเพราะเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ นอกนั้นถ้ามีโอกาสก็จะรุกคืบยึดครองดินแดนซีเรียไปเรื่อยๆ เนื่องจากขณะนี้ได้ทำลายกำลังอาวุธทั้งหมดของซีเรียราบเรียบไปแล้ว
ประการที่ 4 ทั้งกาตาร์และซาอุดิอารเบียต่างหวังเดินท่อน้ำมันและท่อก๊าซผ่านซีเรียไปตุรเคีย เข้ายุโรป โดยไม่ต้องผ่านอ่าวเปอร์เซียที่มีอิหร่านควบคุมอยู่และต้องการลดอิทธิพลของอิหร่านในตะวันออกกลาง
ด้านอิสราเอลนั้นได้ประโยชน์มหาศาลจากการล่มสลายของซีเรีย เพราะสามารถปิดกั้นการสนับสนุนของอิหร่านไปยังฮิซบอลเลาะห์
จึงเป็นที่ชัดเจนว่าโจลานีมิใช่ผู้กุมอำนาจที่แท้จริงแต่เป็นหุ่นเชิดของผู้เล่นตัวจริงทั้ง5
ทว่าสิ่งที่เขาพูดในสะท้อนถึงความต้องการของผู้อยู่เบี้องหลัง โดยเขากล่าวสรุปว่าจะเป็นมิตรกับอิสราเอลและเป็นศัตรูกับอิหร่าน
นอกจากนี้หากเราอ่านเจตนาของผู้กำกับจะพบว่าเขาเหล่านั้นไม่มีวันยอมให้ซีเรียเป็นรัฐอิสลามแบบ IS แต่ต้องการให้เป็นประชาธิปไตยแบบตะวันตก ซึ่งในความเป็นจริงไม่มีทางเป็นไปได้ด้วยวัฒนธรรมแตกต่างกันมาก
ทางด้านตุรเคีย ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนกลุ่มขบฎ เช่น HTS และ SDF ที่เป็นกำลังหลักเตรียมจะเข้ามาบริหารจัดการพื้นที่บางส่วนของซีเรีย โดยไม่คำนึงถึงกฎหมายระหว่างประเทศเช่นกัน ซึ่งคาดว่าคงเป็นพื้นที่จากอิดลิปและอะเล็บโปกับอีกบางเมืองเช่น ฮามา และฮอม เป็นต้น
ด้านสหรัฐฯก็ประกาศว่าจะคงกองกำลังไว้ในพื้นที่ทางตะวันออกของซีเรีย ที่สหรัฐฯได้บุกเข้ามาตั้งแต่สมัยอัสซาดและอ้างว่าเข้ามาเพื่อปราบกลุ่มไอซิส ซึ่งความจริงเป็นไปในทางตรงข้าม
ด้านรัสเซียขณะนี้ก็ได้ดำเนินการเจรจากับแกนนำ HTS เพื่อขอยังคงฐานทัพเรือที่ทาทัสทางตะวันตกกับฐานทัพอากาศที่ฮมามิมลาตา เกียทางใต้ของซีเรียไว้
คงเหลือแต่อิหร่านเท่านั้นที่ต้องถอนกองกำลังที่เข้ามาช่วยรัฐบาลอัสซาดปราบกบฏออกไป โดยเพียงแต่คงสถานทูตไว้เท่านั้น
แผนต่อไปของตะวันตกคือจะทำการโดดเดี่ยวอิหร่าน โดยในขั้นต้น สนับสนุนรัฐบาลของอิสลามนิกายซุนหนี ร่วมกับตุรเคียและซาอุดิอารเบีย แบ่งแยกอิสลามนิกายซีอะห์ในซีเรีย โดยการมอบสุสานของท่านหญิง ซัยนับ ภริยาท่านศาสดามูฮัมมัดให้กับชีอะห์ลอนดอน ซึ่งมีอังกฤษเป็นผู้ประสานงาน ทำให้เกิดความขัดแย้งกับกลุ่มชีอะห์กระแสหลัก
อนึ่งการที่รัสเซียสามารถรักษาฐานทัพไว้ได้ภายใต้การสนับสนุนของตุรเคีย เพราะยังมีผลประโยชน์เกี่ยวข้องกับรัสเซีย เช่น โครงการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ และท่อก๊าซจากรัสเซียผ่านตุรเคียไปยุโรปแต่อันหลังนี่อาจแห้ว
แผนต่อไป ฝ่ายตะวันตกก็จะดำเนินการโดดเดี่ยวอิหร่านในอิรัก ประการแรกกลุ่มซีอะห์ลอนดอนหรือบางครั้งเรียกว่าซีอะห์อังกฤษ มีฐานในอิรักก็จะขยายความขัดแย้งนี้ในอิรักกับซีอะห์สายอิหร่าน นอกจากนี้ในประการต่อมาก็คือ การพยายามสร้างความขัดแย้งระหว่างชีอะห์สายอาหรับในอิรักกับสายนิยมอิหร่าน เช่น กลุ่มชีอะห์อาหรับ สายมุกตาดา ซอล หากแผนนี้สำเร็จก็จะทำให้อิหร่านถูกโดดเดี่ยวในตะวันออกกลาง และจะถูกกีดกันอย่างมากในการส่งความช่วยเหลือ กลุ่มฮิซบอลเลาะห์ ในเลบานอน กลุ่มฮูตี ในเยเมน และกลุ่มฮามาสในปาเลสไตน์
ผู้ที่จะได้รับประโยชน์ในแผนนี้อย่างเต็มๆ ก็คือ อิสราเอล เพราะเมื่ออิหร่านถูกโดดเดี่ยวแผนสุดท้ายของอิสราเอลก็คือ การชักชวนให้สหรัฐฯร่วมมือในการโจมตีอิหร่านในทางอากาศ โดยเฉพาะสถานที่เกี่ยวกับอุปกรณ์และการพัฒนาพลังงานนิวเคลียร์ของอิหร่าน ที่อิสราเอลหวาดระแวงอยู่ตลอดว่าอิหร่านจะไปผลิตอาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งจะทำให้อิสราเอลมั่นใจได้ว่าจะไม่มีใครสามารถต่อต้านได้ในตะวันออกกลาง
ทั้งนี้ขั้นตอนในการโจมตีอิหร่านอาจขยายผลไปถึงการล้มล้างรัฐบาลสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน ด้วยการลอบจารกรรม และสนับสนุนให้มีการลุกฮือขึ้นประท้วงภายในประเทศ
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนว่าทำไมอิสราเอลถึงสามารถก่อการใหญ่ไปทั่วทั้งภูมิภาคได้โดยไม่เกรงกลัวกฎหมายระหว่างประเทศ ก็ต้องชี้เป้าไปที่สหรัฐฯ และบางประเทศในยุโรป เช่น สหราชอาณาจักรและเยอรมนี
ตัวอย่างการที่อิสราเอลสามารถโจมตีเข่นฆ่าชาวกาซา โดยที่ไม่มีใครออกมาขัดขวาง ขณะที่สหรัฐฯ ยังส่งเงินส่งอาวุธช่วยส่วนเยอรมนี สหราชอาณาจักร ส่งระเบิด และอาวุธ สนับสนุนการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในกาซา ที่ทำให้มีคนเสียชีวิตโดยหากมีการสำรวจอย่างเป็นทางการจะพบว่าไม่น้อยกว่า 400,000 คน โดยนิตยสาร LANCET รายงานว่า 350,000 คน เป็นเด็กเกือบครึ่งหนึ่งอายุตั้งแต่แรกคลอดถึง 15 ปี สตรีครั้งหนึ่งของที่เหลือ จนปัจจุบันอิสราเอลก็ยังดำเนินการถล่มกาซาเป็นประจำ โดยทำการสังหารหมู่และวางระเบิดเข่นฆ่าในแต่ละวันประมาณ 100 คนขึ้นไป
ทางการเมืองสหรัฐฯก็คอยวีโตในคณะมนตรีความมั่นคง สหประชาชาติจนไม่อาจออกมติใดๆมายับยั้งการกระทำของอิสราเอล แม้ว่าสมัชชาใหญ่จะมีมติให้หยุดยิงในทันทีก็ตาม
ในด้านศาลอาชญากรรมระหว่างประเทศกว่าออกหมายจับเนทันยาฮู และอดีตรัฐมนตรีกลาโหม อิสราเอลก็ใช้เวลากว่า 5 เดือน แถมยังเอาใจให้จับผู้นำฮามาส ยะห์ยา ซิลวาของฮามาสด้วย แต่ในกรณีพฤติกรรมของอิสราเอลต่อปาเลสไตน์สำนักงานอัยการศาล ICC ใช้เวลาสืบสวนกว่า 9 ปี ก็ยังไม่มีการกระทำการฟ้องหรือประณามอิสราเอลในฐานะก่ออาชญากรรมสงครามในกาซาเลย ทั้งนี้เพราะสหรัฐฯ สหราชอาณาจักร และ EU พยายามเตะถ่วงกระบวนการทั้งหลายด้วยวิธีการนานัปประการ
ด้วยวิธีการที่สร้างความอยุติธรรมในระบบโลก จึงทำให้อิสราเอลสามารถทำอะไรก็ได้ โดยไม่ต้องเกรงกลัวกฎหมายระหว่างประเทศ หรือสหประชาชาติและศาลอาชญากรรมระหว่างประเทศ อันจะเป็นตัวอย่างที่ทำให้ความน่าเชื่อถือของระเบียบโลก ภายใต้การนำของสหรัฐฯ เสื่อมโทรมจนถึงที่สุด
กลิ่นไอของสงครามโลกกำลังโชยกลิ่นรุนแรงขึ้นทุกขณะ ขออย่าให้เกิดเลยครับ