หลังจากที่ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี จำต้องส่ง “ไพ่” ที่มีอยู่ในมือ อย่าง “แพทองธาร ชินวัตร” ลงมารับตำแหน่ง “นายกฯคนที่ 31” ทำหน้าที่ผ่านพ้นไปแล้วมากกว่า 90 วัน แม้จะอาศัยทั้ง แรงผลัก แรงดัน ผ่านกลไกทุกอย่างที่มีอยู่ในมือ ปรากฏว่าจนถึงขณะนี้ “ความนิยม” ก็ยังไม่ได้อยู่ในแดนบวก
แรงกดดันรอบทิศรอบทาง ดูจะไม่ผ่อนแผ่วลงไป มิหนำซ้ำ “แนวรบ” จาก “โจทก์เก่า” ฟากฝั่ง “ต้านระบอบทักษิณ” ผ่านเครือข่ายพันธมิตรมวลชน หลากสีเสื้อ กำลังก่อตัว เลี้ยงกระแสรอจังหวะ “ปิดเกม” อยู่ที่นอกทำเนียบฯ
ในห้วงปลายปีเก่า ก่อนส่งท้าย มีความชัดเจนว่า ทักษิณ จงใจเปิดตัว เปิดหน้าเคลื่อนไหว ชนิดที่เรียกว่า “จัดเต็ม” ทั้งการเดินสายหาเสียงในหลายจังหวัดเพื่อช่วยลูกพรรคเพื่อไทย ลงสมัครรับเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ทำเอาสนามเลือกตั้งระดับท้องถิ่นคึกคักเป็นพิเศษ จนมีการตั้งข้อสังเกตว่า บางจังหวัด ผู้สมัครของเพื่อไทย แข็งแกร่งอยู่แล้ว โดยไม่จำเป็นต้องอาศัย “กระแสทักษิณ” ลงไปช่วยด้วยซ้ำ แต่ดูเหมือนว่า “นายใหญ่” เอง ก็ฉวยจังหวะยามนี้ ลงพื้นที่ด้วยตัวเอง เพื่อทำพื้นที่ สร้างกระแสให้กับตัวเองมากกว่า
จนมีคำถามว่า นี่คืออาการของคนที่ห่างหายจากสังเวียนการเมืองไป นานกว่า 17 ปีใช่หรือไม่ จึงต้องการใช้ทุกเวทีให้คุ้มค่า ทั้งเดินสายพบผู้คน ทั้งขึ้นปราศรัยอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย อย่างที่เห็น
การที่ทักษิณ ต้องออกโรง มาโลดแล่นด้วยตัวเอง ที่ผ่านมา และมีโปรแกรมก่อนสิ้นปี เตรียมเดินสายขึ้นไปช่วยลูกพรรคหาเสียงชิงเก้าอี้นายกอบจ.เชียงใหม่ คือภาพสะท้อนที่ตอกย้ำว่า เมื่อลูกสาว นั่งเป็นนายกฯคนที่ 31 ยังทำงานไม่เข้าเป้า
จะด้วยเพราะเธอเองไม่ได้มีความพร้อมมากพอที่จะก้าวเข้าสู่ตำแหน่งสำคัญระดับชาติเช่นนี้ตั้งแต่แรก แต่เมื่อทักษิณ เจอกับ “ไฟต์บังคับ” หากไม่ส่ง “ลูกสาว” ลงสนาม เก้าอี้นายกฯคนที่ 31 ก็ต้องตกเป็นของ “แกนนำ” จากพรรคร่วมรัฐบาล พรรคอื่น ที่ต่างมีลุ้นในตอนนั้น ทั้ง “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ หรือ “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย
แต่เมื่อพรรคเพื่อไทย กลไกทางการเมืองในมือของทักษิณ เป็นฝ่ายได้ “อำนาจรัฐ” เอาไว้ในมือแล้ว โจทย์สำคัญประการต่อมา คือการบริหารอำนาจนั้นไปพร้อมๆกับการสร้างความแข็งแกร่งทางการเมืองให้ “ชนะเบ็ดเสร็จ” ได้อย่างไร ภายใต้เงื่อนไขของ “เวลา” ที่อาจเริ่มนับถอยหลัง รวมทั้ง “ศัตรู” ทางการเมืองในวันนี้นับวันยิ่งชัดเจนว่า ไม่เฉพาะ “พรรคสีส้ม” เท่านั้นอีกต่อไป
เดิมภารกิจที่พรรคเพื่อไทยและทักษิณ ได้รับคือการ “ปราบส้ม” ลดโทนพรรคก้าวไกล จนมาถึงพรรคประชาชน ขวาง “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ไม่ให้ไปถึงเก้าอี้นายกฯ แม้พรรคเพื่อไทยจะต้องแลกกับการเสี่ยงโจมตี “ตระบัดสัตย์” ซึ่ง ณ วันนี้ พรรคประชาชน เจเนอเรชันที่ 3 ของพรรคสีส้ม อยู่ในสภาพที่อ่อนแรงเต็มที ถูกโดดเดี่ยวกลางสภาฯ เป็นฝ่ายค้านตามลำพัง
ถึงกระนั้นใช่ว่าแม้พรรคประชาชนอ่อนแรงลงแล้ว พรรคเพื่อไทย จะ “ผงาด” ขึ้นคุมอำนาจเบ็ดเสร็จสมศักดิ์ศรี “พรรคแกนนำรัฐบาล” เพราะปัญหาที่กำลังโถมเข้าใส่ เวลานี้คือการถูกท้าทายจาก “พรรคร่วมรัฐบาล” จนทำให้ทักษิณ ถึงกับฟิวส์ขาด พาดพิงพรรคร่วมรัฐบาล ว่าจะอยู่หรือไป ก็เอาให้ชัดเจน
เพราะการผลักดันนโยบายของพรรคเพื่อไทย ต่างมีอันต้องสะดุด หยุดชะงักในหลายเรื่อง จนถึงวันนี้หากนับรวมตั้งแต่ตั้งรัฐบาลมา จาก “เศรษฐา ทวีสิน” ถึง แพทองธาร เกือบ 1ปีครึ่ง ปรากฏว่าพรรคเพื่อไทย สามารถผลักดัน “แจกเงินหมื่น” ให้กับกลุ่มเปราะบาง ในเฟส ที่ 1 ไปได้เท่านั้น ส่วนการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน คงไม่เกิดขึ้นได้จริง ไม่เช่นนั้นทั้งรัฐมนตรีและแกนนำพรรคเพื่อไทย คงไม่ออกมายอมรับว่า “ทำเต็มที่แล้ว”
พรรคการเมือง ที่กำลังจะก้าวขึ้นมา “ขยายอำนาจ” ช่วงชิงการนำ แทนพรรคเพื่อไทย ยามนี้คือ พรรคภูมิใจไทยที่แม้ อนุทิน จะยืนยันสัมพันธภาพกับนายกฯอิ๊งค์ ว่ายังเหนียวแน่น แต่ลึกๆแล้ว ทักษิณ เองย่อมประเมินได้ว่า นับวันพรรคภูมิใจไทยยิ่ง แข็งแกร่ง ทั้งมี “สว.สายน้ำเงิน” อยู่ในมือ บวกกับการสร้างขุมพลังทางการเมือง ทั้งในระดับ “ท้องถิ่น” ไปจนถึง “สนามใหญ่” ล้วนแล้วแต่ไม่เป็นผลดีต่อ พรรคเพื่อไทยที่ทักษิณ เคยประกาศเอาไว้แล้วว่า การเลือกตั้งครั้งหน้า 2570 เพื่อไทยจะต้องได้สส.เข้าสภาฯไม่ต่ำกว่า “200 ที่นั่ง”
เมื่อพรรคเพื่อไทย กำลังถูกจำกัดพื้นที่ทางการเมือง ด้วยปฏิบัติการตีโอบล้อมจากพรรคภูมิใจไทย พรรคสีน้ำเงิน ด้วยการชิงฐานเสียงจากแหล่งเดียวกัน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือการใช้สูตร “ยึดบ้านใหญ่” ในแต่ละจังหวัด เหมือนกัน
ด้วยเหตุนี้จึงไม่ต้องแปลกใจที่จะพบว่า ทักษิณ กำหนดพื้นที่เป้าหมายที่ “ปราจีนบุรี” ด้วยการส่ง “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” สส.พะเยา ไปวางแผนการเล่น ชิงพื้นที่ นายกอบจ.ปราจีนบุรี จากบ้านใหญ่ “ตระกูลวิลาวัลย์” จาก “โกทร” สุนทร วิลาวัลย์ นายกอบจ.ปราจีนฯ ที่กำลังตกเป็นผู้ต้องหาคดีดับ “สจ.โต้ง” ชัยเมศร์ สิทธิสนิทพงศ์ ด้วยการส่ง “สจ.จอย” ณภาภัช อัญชสาณิชมน ภรรยาสจ.โต้ง สวมเสื้อเพื่อไทย ลงชิงนายกอบจ.ปราจีนฯ เป็นตัวแทนพรรคเข้าไปปักธงในถิ่นภูมิใจไทย
แน่นอนว่า “งานใหญ่” เช่นนี้ ทักษิณ ต้องออกแรงลุยเอง เพราะรู้ดีว่า “ลูกสาว” ย่อมทำไม่ได้ เพียงแต่มอบหมายให้นั่งหัวโต๊ะ ในฐานะ หัวหน้าทีมเฉพาะกิจปราบผู้มีอิทธิพล ทำงานรูทีนเชิงสัญลักษณ์เท่านั้น
สถานการณ์ทางการเมืองที่เหมือนทักษิณ จะ “เป็นต่อ” ถึงกล้าเคลื่อนไหวทางการเมือง ชนิดเปิดหน้าทำเอา “กลุ่มต้านทักษิณ” ต้องลุกขึ้นมาขยับ จี้ให้ “คณะกรรมการป.ป.ช.” เร่งไต่สวนคำร้อง “ป่วยทิพย์” เพราะมั่นใจว่าประเด็นนี้จะส่งทักษิณ กลับเข้าเรือนจำได้แน่นอน โดยก่อนหน้านี้ไม่เคยต้องติดคุกแม้แต่วันเดียว คือแนวรบที่กดดัน ทักษิณ และไม่อาจประมาทได้ เพราะอาจกลายเป็น “เงื่อนไข” เรียก “รถถัง” ออกมาได้ทุกเมื่อ
ด้วยเหตุนี้ จึงหมายความว่า การปล่อยให้ลูกสาว อยู่สนามรบ ด้วยความหวังว่าจะยืนระยะไปจนครบเทอม โดยที่ทักษิณ ไม่ออกแรงอย่างใด อย่างหนึ่งเลยนั้น จึงเป็นไปไม่ได้ เหนืออื่นใด “เดิมพัน” แห่งอำนาจครั้งนี้ แม้จะแลกกับที่ทักษิณ ได้กลับประเทศไทยแล้วก็ตาม แต่ไม่มีใครรับประกันได้ว่า แพทองธาร จะเป็นนายกฯ ของตระกูลชินวัตร ที่จะรอดจากการถูกรัฐประหาร ไม่ซ้ำรอย พ่อ และ “อา” ของเธอเอง !