วิธีการทำการบ้านของต่อก็คือ เอาตัวเองไปรีเสิร์ชแล้วก็เอาตัวเองไปเจอเด็กที่เป็นออทิสติกจริงๆ ด้วย ?ต่อ : ใช่ครับ เจอตั้งแต่พี่ๆ น้องๆ ที่เป็นออทิสติกจริง พยายามเข้าไปพูดคุยกับพ่อแม่เขา ไปอยู่กับคุณครูที่ดูแลเขา ไปอยู่กับพยาบาลหรือหมอที่คอยอัพเดตอาการเขาในแต่ละช่วงวัน
ทำไมถึงต้องเอาตัวเองไปรีเสิร์ชไปอยู่กับเด็กที่เป็นออทิสติก ทำไมต้องทำขนาดนั้น ผู้กำกับบอกหรือว่าเราไปของเราเอง ?
ต่อ : ด้วยการปลูกฝังของค่ายผมก่อน นาดาว บางกอก ถึงค่ายจะปิดไปแล้วก็ตาม แต่ผมยังรู้สึกเสมอว่าถ้าไม่มีบ้านหลังนี้ ผมจะไม่ได้เติบโตมาเป็นนักแสดงแบบนี้ หรือแม้กระทั่งครูบิว เขาเป็นเหมือนแม่ที่คลอดผมออกมาทางการแสดงและเป็นพื้นฐานทั้งหมดก่อนที่ผมจะออกไปเรียนรู้กับครูที่เป็นโปรเฟสชั่นนอลอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นครูเงาะ ครูแอ๋ว ผมอาจจะพูดไม่หมดเพราะผมเรียนกับครูเยอะมาก ผมยังขอบคุณทุกคนแต่คนที่เปิดประตูให้ผมยังไงก็คือครูบิวที่เป็นเจ้าของการแสดง Act-Things มันอยู่ที่ผมโตมาด้วย สุดท้ายสิ่งที่ผมเป็นคือไม่มีใครสั่งผม แต่ที่ผมทำหนักขนาดนี้ผมรู้สึกว่าทุกอาชีพควรจะมีมุมผลิตของคุณที่ชาวบ้านไม่ต้องรู้หรอก แต่คุณต้องพิถีพิถัน มันเหมือนเราสร้างสินค้าคือผมก็หนึ่งในผู้ประกอบการที่เรารักคุณแล้วกัน
เมื่อก่อนรับบทเป็นนักเรียน นักศึกษาแล้ว เดี๋ยวนี้มีผู้วางแผนให้เปลี่ยนบทบาทจะไม่ใช่บทนักเรียน นักศึกษาแล้ว ?ต่อ : ตอนนั้นก่อนที่จะมี Side by Side มันจะมีจุดที่ผมเริ่มโคลงเคลงในแง่ความเชื่อของคนข้างนอกว่าเราไม่ถูกเชื่อในชุดนักเรียนและเราไม่ถูกยอมรับในชุดทำงาน คนที่มันมีแพชชั่นกับนักแสดงแล้วมันไม่ถูกเชื่อมันอึดอัดมาก มันจะรู้สึกว่าเราเข้าใจเขา เราอยู่ในระยะที่เขาไม่สามารถเห็นเราเป็นนักเรียนได้แล้ว แต่จะให้ไปทำงานก็ยังติดสิ่งที่ทำมาแล้วภาพมันชัดอยู่ แล้ว Side by side มันเข้ามาตอบทุกอย่างว่าไม่มีกฎเกณฑ์ side by side ไม่ได้กำลังพูดถึงว่าคุณวัยไหน แต่ side by side แค่เปิดประตูว่าฉันไม่ได้ขายเสน่ห์ ฉันคราฟท์มันมาอย่างสุดพลัง อย่างเหนื่อยมาก แล้วส่งความตั้งใจไปถึงคนดู สุดท้ายมันแค่ตอบเราว่าหรือว่าไอ้เด็กคนนี้อยากจะก้าวเข้าสู่นักแสดงที่ตัดคำว่าวัยรุ่นออกนะ
ได้มีโอกาสไปเล่นกับพระเอกนางเอกตัวท็อป ณเดชน์ ญาญ่า ?
ต่อ : ตื่นเต้นครับ เราอยู่กันคนละตลาดมากๆ เมื่อก่อนค่ายผมจะอยู่กวัยรุ่นเยอะ อยู่กับออนไลน์เยอะ ผมไม่คุ้นชินกับทีวีขนาดนั้น คุ้นอย่างเดียวในฐานะผู้ชม ช่อง 3 ชวนมาจอยมาร่วมสนุกกันมั้ย แล้วเมื่อก่อนผมเป็นเด็กชอบลองอยู่แล้ว ชอบปั๊บก็ไป เรื่องเล่ห์ลับสลับร่าง
จากซีรีส์วัยรุ่นพอไปร่วมงานกับณเดชน์ ญาญ่า เป็นอีกตลาดเลย มันเกิดอะไรขึ้น ?
ต่อ : งง แล้วรู้สึกว่าผลประกอบการในแง่ความรู้สึกส่วนตัวแย่มาก จำได้ว่าฟีดแบ็กตอนนั้นทุกคนจะมีใหม่บ้าง หลายๆ คนก็บอกว่ามันโอเคอยู่นะสำหรับการเข้ามาในละครครั้งแรก แต่ผมจะเปิดเผยความรู้สึกส่วนตัวจริงๆ ว่าผมไม่โอเคเลย ผมรู้สึกว่าผมทำมันได้ไม่ดี แล้วก็รู้สึกว่าต้องกลับไปฝึกตัวเองใหม่หรืออาจจะต้องยอมรับว่าเราอาจจะไม่เหมาะกับทางนี้ มันแทบจะเกือบ 10 ปี ตอนนั้นวิธรการถ่ายทำละคร ซีรีส์ หนัง แตกต่างกัน มันไม่ได้ถูกรวมเข้าหากัน ทุกวันนี้รู้สึกว่าไม่ว่าจะช่องไหนการถ่ายทำละครมันแทบจะไม่ต่างจากซีรีส์หรือหนังเลยด้วยอุปกรณ์ด้วยอะไรต่างๆ มันไม่ต่างแต่ด้วยยุคนั้นมันต่าง วิธีการกำกับ ผมไม่เคยเจอการถูกล็อกที่เขาเรียกกันว่าบล็อกกิ้ง นาดาวสอนเด็กมาการตามนักแสดงเป็นหน้าที่ของกล้อง พอผมเข้าไปสู่โหมดละครมันกลายเป็นว่า เห้ย ! บัง บังอะไรวะ ผมไม่เคยรู้จักสิ่งนี้ เมื่อก่อนกล้องที่ทำงานกับ GDH หรือ นาดาว ความโปรเฟสชันนอลของเขาก็คือเขาไม่สนบล็อกกิ้ง สำหรับเขาเอาคนเป็นหลัก กล้องในรายการตอนนี้ไฟแดงที่เรียกว่าสวิชเชอร์ผมทันนะพี่ การแสดงที่ผมเรียนมายากมากกับการเล่นสวิชเชอร์
มีเหตุผลนึงที่ทำให้พักไป 5 ปี ?ต่อ : ใช่ คือหลังจากที่เล่นเรื่องนี้ ผมได้เห็นว่าพี่แบร์กับพี่ญ่าเขาทำได้ดีมากเลย ตอนนั้นเราก็ไม่ได้ยอมรับความเด็กของเรามาก ประสบการณ์เราน้อย มันกลายเป็นว่าเราถอดใจ เรารู้สึกว่าทำได้ไม่ดีนักเรากลับค่าย เซ็ง ร้องไห้ บอกค่ายว่าไม่เอาแล้วนะ ลองแล้วนะไม่ดีหรอก อย่าเลย
5 ปีเลยเหรอ แล้วผู้ใหญ่ว่ายังไง ?
ต่อ : หลังจากทั้งเล่ห์ลับ จริงๆ มันมีอีกเรื่องคือโปรเจกต์ของพี่หน่องคือคิวปิดที่ผมไปจอยด้วย หลังจาก 2 เรื่องนี้จริงๆ เข้ามาอีกเรื่อยๆ เลย แต่มันถูกปฏิเสธทั้งหมดโดยการที่เราบอกว่าเราไม่ไหว จริงๆ ยุคนั้นผมพูดเลยว่าผมจะไม่ทำอีกแล้ว ไม่เอาเลย ในฟากของละครนี่ไม่ใช่สนามของเรามันเป็นสิ่งที่เราไม่ถนัด ณ ตอนนั้นผมรู้สึกว่าต้องเปลี่ยนความเป็นตัวเองเยอะเกินไป มันเลยทำให้เรารู้สึกว่าไม่เหมาะ เราให้คนที่เขาทำได้ดีทำ น่าจะดีกว่าไม่ใช่เรา
อะไรเป็นจุดเปลี่ยนที่ยอมให้กลับมายืนในวงการในด้านละครตอนนี้ ?
ต่อ : ตลอด 5 ปีหลังจากนั้นผมว่าผมได้ประสบการณ์มากขึ้นจากการทำงานต่อเรื่อยๆ แล้วก็ความไม่หยุดพัฒนาบวกกับโตขึ้นแล้ว ตอนนั้นมันเด็กอยู่พอมันประสบการณ์เยอะขึ้นโตขึ้นผมเปิดใจมากขึ้น เมื่อก่อนจะเป็นมุมแบบว่าพอเราเริ่มทำได้ พอเราเริ่มชอบ แพชชั่นเราจะทำให้รู้สึกว่าไม่อยากห่วย เราไม่ยอมรับความห่วย เรารู้สึกว่าเราโดนเฆี่ยนมาขนาดนี้ โดนพ่อเราพี่ย้งกดดันมาขนาดนี้ เราต้องเก่งซิวะ แต่พอมันไม่เก่งแล้วมันนอยด์มันจะรู้สึกว่าฉันไม่ได้ยอมรับความไม่เก่งนี้ แต่ฉันรู้สึกไปเลยว่านี่ไม่ใช่ พอดีกว่า แต่พอเราโตขึ้นใจกว้างขึ้นเราไม่ได้คิดแบบนั้นแล้ว เราเริ่มรู้สึกว่าอะไรที่เราทำไม่ได้เราอยากทำให้ได้
ล่าสุดได้กลับมาเล่นกับพี่ญาญ่าอีกครั้งรู้สึกยังไง ?
ต่อ : ครั้งแรกเรารู้สึกว่าเราคุ้นเคยกัน มันเป็นความคิดถึงของพี่น้องที่เราเคยเจอกันมา ระหว่างทางก่อนที่จะมีโปรดเจกต์นี้ผมกับพี่ญ่าจะมีความต้องการที่จะเล่นด้วยกันผ่านการเจอตามอีเวนต์ พี่ญ่ากับแม่ปลาน่ารักกับผมเสมอ วันที่ผมรู้ว่าพี่แอนชวนเล่นละครแล้วมันกลายเป็นพี่สาวเราคนนี้พี่ญ่าตัดสินใจว่าเขารับนะ เล่นกับเรา ผมชอบเจอคนเก่งกว่าอยู่แล้ว ผมไม่เคยรู้สึกแย่กับการที่ผมจะห่วยกว่าใครเลย
ได้อะไรกับการร่วมงานกับพี่ญ่าในครั้งนี้ ?
ต่อ : ผมว่าวิธีคิดต่อตัวละครของเขามันเริ่ดมันฉีกกรอบดี ความคิดที่เขาเอามาใช้ในชีวิตประจำวัน การตีความหรือการเรียกตัวละครที่เขากำลังได้รับอยู่มันเป็นวิธีคิดที่ฟังครั้งแรกอาจจะประหลาดแต่พอลองทำด้วยมันเวิร์กว่ะ
มีอะไรบอกพี่ญาญ่าหน่อยมั้ย ?ต่อ : คิดถึงแหละ เพราะว่าตั้งแต่เราจบโปรเจกต์นี้ไม่ได้เจอกันเหมือนออกกองรู้สึกว่าล่าสุดที่เจออัพเดตกันว่ายูน่าจะมีโปรเจกต์ใหม่รอเชียร์อยู่
ได้เล่นร่วมกันกับพี่กิ๊ก สุวัจนี เป็นยังไงบ้าง ?
ต่อ : คนเนี้ยคือะเมซิ่ง ผมงงมากเลย่วาผมเข้ากับเขาได้ยังไง เขากันแบบที่ว่าไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยแต่เราซิ้งค์กันเลย ผมว่าเขาเป็นหนึ่งในนักแสดงรุ่นพี่ผมรู้สึกว่ายุคสมัยทำอะไรเขาไม่ได้ วิธีการแสดงของเขาเหมือนเขามีออโต้จูน เขาปรับทิศทางได้ตลอดเวลาโดยที่คุณภาพไม่ลด เขาเปลี่ยนวิธีเล่นได้โดยที่ผมรู้สึกสนุก จุดที่เราซิ้งค์กันอันนี้คิดเองมันอาจจะเป็นเรื่องว่าเขาอาจจะสัมผัสได้ถึงความเอาจริง ความตั้งใจของเรา แล้วเขาอาจจะถูกใจสิ่งนี้ มันอาจจะผิดก็ได้ แต่มันทำให้ผมรู้สึกว่าเขาเป็นเพื่อนเราได้ด้วย ทุกวันนี้หลังจบหนึ่งในร้อยมาพี่กิ๊กมาร่วมงานกับช่องวันต่ออีก ผมกํยังมีคุยกับเขาเรื่อยๆ
กิ๊ก สุวัจนี : ได้ร่วมงานกับพี่ต่อบอกเลยว่าสนุกมากๆ เวลาที่เราได้เข้าฉากกับพี่ต่อมันเหมือนมีพลังบางอย่าง เราสองคนมีเคมีที่ตรงกัน มีบางอย่างที่เราเล่นแล้วรู้สึกว่าเรามองตากันเราก็สัมผัสได้ว่าเราจะไปในทางไหน บางครั้งเข้าฉากกันเราก็มีหลุดบ่อยมาก แต่ก็เป็นประสบการณที่ดีมากๆที่นักแสดงรุ่นพี่กิ๊กได้มาร่วมงานกับรุ่นน้องที่มีความสามารถเพราะพี่ต่อทำการบ้านมาดีเป็นคนที่เล่นได้ถึงบทบาท เวลาที่ต่อเล่นรู้สึกว่าเราอินไปกับสิ่งที่ต่อเล่น เราคิดว่าพี่ต่อเป็นลูกเราจริงๆ เป็นคนที่ใช้ความรู้สึกได้เก่งมากๆ ถ้ามีโอกาสอีกหวังว่าเราจะได้ร่วมงานกันอีก
ต่อ : ดีใจที่ไม่ได้คิดไปคนเดียว รู้สึกว่าเรายินดีจากการที่เราได้รู้จักกันจริงๆ มันไม่ใช่แค่เรื่องการทำงาน พี่น่ารักมากๆ ตอนแรกที่เจอพี่อาจทำให้ผมรู้สึกว่าดุรึเปล่า ความใจดีของพี่มันชนะใจทุกคน ผมเองก็รู้สึกแบบพี่กิ๊ก เราต้องเจอกันอีกจริงๆ
มีเรื่องที่ติดค้างในใจกับคุณพ่อคุณแม่ ?
ต่อ : ในความจริงมันไม่ใช่ติดค้างอย่างนั้น จริงๆ ผมว่าลูกทุกคนก็ติดค้างพ่อแม่อยู่แล้วในการที่เขาเลี้ยงเรามาแต่ว่ามันเป็นความตั้งใจส่วนตัวสำหรับเด็กคนนึงที่เราอาจไม่ได้อยู่ในเส้นทางที่เขาอยากให้เป็นมาตั้งแต่เด็ก ในช่วงเด็กๆอาจจะออกเส้นทางไปไกลหน่อย เช่น เขาอยากให้ตั้งใจเรียน ติดอ่านหนังสือ แต่เราก็ไปติดเพื่อน เมื่อก่อนเขาอาจจะเคยขอให้เราบวชเขาอยากเห็น แต่เราจะรู้สึกว่า ไม่ เราอยากมีผม หลายๆ ครั้งในอดีตเราก็มีเรื่องที่เราก็ทำให้เขาเสียใจเยอะเหมือนกันนะ แต่ว่าเมื่อเทียบกับการที่วันนี้โตมาขนาดนี้เรื่องตอนนั้นมันเล็กมากเลย ณ ตอนนั้นมันดูเป็นเรื่องใหญ่ มันก็เลยเป็นความตั้งใจตั้งแต่ผมเริ่มหาเงินได้ด้วยตัวเอง เรารู้สึกว่าคิดเองไม่เคยถามเขาเลย แค่คิดว่าเขาคงเหนื่อยกับเรามาเยอะจะดีมั้ยนะถ้าเขาจะไม่ต้องเหนื่อยแล้ว เป็นความตั้งใจมาตลอด ทุกการทำงานหนักของผม ผมรู้สึกว่าถ้าเขาเหนื่อยกับผมมาเยอะแล้ว วันนี้ถ้าเขาไม่ต้องเหนื่อยแล้วผมเหนื่อยแทน ผมโอเค
ให้คุณพ่อ คุณแม่เกษียณได้เลย ?
ต่อ : ใช่ ผมไม่แน่ใจว่านับปีถูกมั้ย น่าจะ 5 ปีหรือมากกว่านั้นว่าสิ่งที่ป๊า แม่ ผมทำอยู่มันเป็นแค่งานอดิเรกแล้ว มันควรจะเหลือแค่สิ่งที่ป๊ากับแม่อยากทำได้แล้ว มันไม่จำเป็นต้องมานั่งคิดหน้าคิดหลัง เดี๋ยวผมมาช่วยคิด
ทำงานเยอะขนาดนี้มีเวลาได้อยู่กับพ่อแม่บ้างมั้ย ?
ต่อ : เนี่ยคือสาเหตุที่ผมไม่เคยมีที่อยู่เองเลย ผมยังคงปักหลักว่าฉันจะอยู่บ้านกับพ่อแม่ ถึงจะเจอกันน้อยก็เถอะหรือวันที่ได้พักตื่นมาก็ยังเจอกัน ซึ่งเคยมีความคิดนะว่าอยากมีที่ที่ได้อยู่ส่วนตัว แต่ผมแค่มองว่าวันนี้ถ้ายังมีคำว่าครอบครัวมาผมก็ยังเลือกครอบครัวก่อน หลายคนชอบถามว่าไม่คิดจะอยู่คอนโด อยู่บ้านตัวเองบ้างหรอ ไม่ครับ
แพลนอนาคตไว้ยังไง ?ต่อ : อยากเป็นนักแสดงต่อไปเรื่อยๆ แต่แค่จุดที่อยากเป็นที่สุดคืออยากแสดงโดยที่ไม่ต้องคิดถึงรายได้ จุดนึงผมก็อยากให้แอ็คติ้งของผมมันเป็นงานอดิเรก อยากอยู่ในจุดที่เราพาตัวเองและครอบครัวไปอยู่ในจุดที่ไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลังมีอิสรภาพในทุกๆทางไม่ว่าจะเป็นการเงินและเวลา ทุกวันนี้ก็ต้องยอมรับว่าบันเทิงมันมีความธุรกิจอยู่ เราไม่ได้สามารถใช้ใจทั้งหมดได้หรอก สุดท้ายมันก็ต้องมีเรื่องรายได้แต่ละปีเพราะเราก็คือคนทำงานคนนึง ถ้าวงแผนคิดได้เร็วสุดก็น่าจะอารมณ์พาตัวเองไปอยู่ขั้นนั้นให้ได้
คลิปสัมภาษณ์ :