ปากกาขนนก/สกุล บุณยทัต
“..คุณค่าแห่งความจริง..ของโลกและชีวิต..นับเป็นสิ่งที่มีคุณค่าที่น่าค้นหาอยู่เสมอ..มันคือคุณค่าแห่งจิตวิญญาณอันลึกล้ำที่หยัดยืนทายท้าอย่างกล้าแกร่ง..ต่อแรงสาดซัดอันหน่วงหนักจากอุปสรรคอันโหดร้ายใดๆ..เปรียบประหนึ่ง “ดอกทานตะวัน” ที่ดำรงอยู่..ด้วยลักษณาการของความอดทน..และเปล่งรัศมีความงามแห่งตัวตนออกมาโดยไม่ครั่นคร้ามต่อความเป็นศัตรูของชีวิตใดๆ...แข็งแกร่ง ยั่งยืน และสร้างความหมายเป็นสีสันของโลก..นับนิรันดร์..นั่นคือวิถีแห่งสัจจะอันน่าใคร่ครวญ..ตราบใดที่ลมหายใจแห่งชีวิตยังไม่สูญสิ้นในผัสสะแห่งการเป็นใครและใครสักคน..!
“จงเป็นใครสักคนที่เชื่อมั่น..ในคุณค่าของความจริง..” บริบททาง..จิตปัญญาเบื้องต้น คือเนื้อในอันฝังลึกสู่การ
กระทบใจของหนังสือที่ตั้งอยู่ในโครงสร้างแห่งแสงสีของประกายอารมณ์ความรู้สึกที่ติดตรึงและร้อยรัดชีวิต..อย่างวิจิตรตระการ..!
“จงเป็นดั่งดอกทานตะวัน..ที่หันหาเพียงแสงอาทิตย์อยู่เสมอ” คือหนังสือเล่มงาม.ที่ผมเลือกมาพูดถึงและตีความปิดท้ายขวบปีนี้ อันท่องมาแต่โลกภายในอันตอกย้ำ ผสานกับ การสดับในน้ำเสียงอันพริ้งเพราะแต่จริงจัง.ในการเติมเต็มรสชาติแห่งความวาดหวังของหัวใจ..
“หากเปรียบชีวิตเป็นดั่งดอกทานตะวัน ดอกทานตะวันเป็นตัวแทนของความซื่อสัตย์ หันหาแสงอาทิตย์เสมอ..เพราะปรารถนาแสงอาทิตย์”
“ความเรียง” อันก่อเกิดแรงใจเล่มนี้..เขียนโดย “ปานตะวัน”..เป็นข้อเขียนที่สร้างให้ความเรียงเล่มนี้..สามารถช่วยสร้าง..ความฝัน ความสัมพันธ์และ ความรัก แก่ผู้อ่านทุกคน..โดยการนำเสนอผ่านความหมายของดอกทานตะวัน..โดยแบ่งออกเป็น 2 บทตอน..อันประกอบด้วย “Sun”..ด้วยการเปรียบดวงอาทิตย์ว่าเป็นดั่งชีวิตของคนเรา..และ.. “Flower” อันหมายถึงดอกไม้ที่โยงใยกับความรักและความสัมพันธ์..
อันหมายรวมว่า..สุดท้ายแล้ว เราอาจจะเป็นเพียงดอกทานตะวัน..ที่รอคอยแสงพระอาทิตย์ เพื่อมีชีวิตต่อไป..อย่างสวยงาม..
“ดอกทานตะวันสอน.. “ความรัก” แก่เรา..อันหมายถึง “รักอย่างตั้งใจ ทุ่มเทให้เต็มที่..และ ซื่อสัตย์กับคนรัก..โดยไม่ลืมที่จะ ซื่อสัตย์ต่อความรักที่แท้จริง..ของตัวเอง..เหมือนในตอนที่ดอกทานตะวันหันเข้าหาดวงอาทิตย์ และไม่หันไปหาแสงใด..นอกจากเเสงของดวงอาทิตย์..อีกเลย..”
ว่ากันว่า..ในความเป็นมนุษย์..ความซื่อสัตย์ต่อตัวเองถือเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง..มันคือเครื่องชี้ทางและนำทางหัวใจของเรา ไปสู่ ณ ที่แห่งทางอันมีความหมายล้ำค่า..การเคยคุ้นกับทาบเงาของตัวตนด้วยประกายภายในและภายนอกของชีวิต คือแสงฉายอันสุกสกาวและเจิดกระจ่าง ภายใต้เงื่อนไขแห่งความทุกข์ทนนานา...เหตุนี้ การเชิดหน้าขึ้นสูงอย่างทายท้าและเข้มแข็งต่อวิกฤติของโชคชะตาในทุกห้วงยามของชีวิตจึ่งคือ..ยาสมานแผลใจอันอ่อนล้า..และเลือนลับต่อความอ่อนแอในผิดบาปโดยแท้..นั่นคือที่มาแห่งการยืนหยัด..บนความจริงแห่งความงามที่ยากจะยอมแพ้..!
“จงอย่าลืมใช้ชีวิตให้เหมือนดอกทานตะวัน..แม้สักวันจะร่วงโรย..แต่อย่างน้อยก็ได้ทำในสิ่งที่ต้องการและซื่อสัตย์ด้วยความรู้สึกของตัวเอง..เมื่อต้องการก็แสดงออกมาว่าต้องการ..เมื่อรักก็แสดงออกมาว่า..รัก..!”
...การดำรงอยู่และหยัดยืนของดอกทานตะวัน..คือนิยามอันทายท้าอย่างหมดเปลือกของการเรียนรู้ในรับ..รู้..ไม่ว่าจะเป็นในยามต้องลมฝนอันหน่วงหนัก..ถูกกระทบจากสายลมกระโชก หรือ ถูกสายแดดแรงสาดซัดจนแทบจะมอดไหม้..
นั่นคืออุทาหรณ์ถึงว่า..เหนือการควบคุมของชีวิตใดๆก็ตาม หากรากเหง้าแห่งเจตจำนงที่อดทนและแรงกล้ายังคงอยู่..วังวนของชีวิตก็จะหมุนไปในวงรอบของความหวังที่ไม่เคยคิดสิ้นหวังเสมอ..มันเป็นแรงขับที่อยู่เหนือจริต และเป็นทัศนียภาพแห่งใจ ที่เปล่งสีสันออกมาเป็นความผูกพัน..เหนือผูกพัน.แท้จริง.!
“ความจริงปกป้องคุณได้เสมอ..ไม่ว่าต้องพบเจอกับสถานการณ์ใด..ขอให้หัวใจของคุณแข็งแรง..ไม่มีใครบอกคุณได้..!”
..ยิ่งอ่านหนังสือเล่มนี้..ลึกลงไปในห้วงแห่งความคิด..คำกล่าวสั้นแต่คมลึกเหล่านั้น จะให้ทั้งแสงฉายและกลิ่นอายทางสำนึกคิดเพิ่มมากขึ้นโดยลำดับ..มันคือรหัสนัยแห่งความจริงในการแปลความและตีความของชีวิตอันโลดแล่น..ในข้อสงสัยที่ชีวิตต้องเผชิญหน้ากับตัวเองอย่างลึกเร้น..
*จงเป็นใครสักคน..ที่เชื่อมั่นในความจริง เท่าที่หัวใจรู้สึกถึงมันได้..!
“ฉันสงสัยอยู่เหมือนกันว่า..หากฉันคือสิ่งที่คุณตั้งใจ..ฉันจะต้องอยู่กับมันอย่างไร? เพราะแค่ที่คุณเอ่ยว่า “ไม่ตั้งใจ”..ฉันยังแตกสลายได้.. มากขนาดนี้..!”
ในสายธารแห่งข้อสรุปของหนังสือเล่มนี้..ความตระหนักรู้ต่อการหยั่งรู้ต่อความหมายของการใช้ชีวิต..คือความทรงจำของการผจญภัย ในบริบทแห่งการเลือกสรรบทเรียนแห่งชีวิต..
บางขณะมันอยู่บนพื้นที่ชีวิตอันยืดยาวแต่บ้างขณะ มันก็ปรากฏกลายเป็นปรากฏการณ์ของชีวิตในระยะสั้นๆ..แต่ทั้งหมดทั้งมวลย่อมเป็นดั่ง “ธรรมชาติของปัญญาญาณ” ที่คอยเนรมิตชะตากรรมอยู่เบื้องหน้า..ความอดสูปิดตายในจิตวิญญาณของความเป็นทั้งหมดทั้งมวล..
อะไรคืออะไร?..ในหนังสือเล่มนี้ขณะที่ “ความเป็นดอกทานตะวันยังสะพรั่งบาน” อยู่เหนือกาลเวลาของสำนึกคิดอยู่ซ้ำๆ..
“รักไม่ใช่ทุกอย่าง..คุณต่างหากที่เป็น/..เราทุกคนให้โอกาสตัวเองได้เสมอ/หัวใจของเราจะถูกโอบกอดจากความรัก..และความปรารถนาดีของตัวเราเสมอไป../การเติบโต..ไม่น่ากลัวเสมอไป..มันอาจเจ็บปวดอยู่บ้างนิดหน่อย..แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ..เราทุกคนก็ต้องเติบโต/และ..จงมองหาคุณค่าในตัวเองเสมอ..แม้ในวันที่โลกนี้..ดับแสงลงไป..”
สิ้นปีอีกปีแล้ว..ท่ามกลางวิกฤตแห่งโอกาส ในชีวิตของชาวโลกและประเทศชาติบ้านเมืองของเรา..ความสุขแท้..เหมือนว่าจะหนีหายไปจากวงจรชีวิต.เหลือไว้แต่เสียงครวญคร่ำรำพันในความทุกข์..จากทุกหัวระแหง..เป็นโศกนาฏกรรมจำยอม ที่ร้อยรัดอย่างติดแน่น จนยากจะสลัดหลุด..สภาพของชีวิตในแต่ละชีวิตบนโลกนี้จึงเยินยับ สิ้นสภาพ และ อ่อนล้าจนไม่สามารถเชิดหน้าทายท้าต่อโลกได้..
วิกฤตการณ์ที่ถาโถมใส่สรรพชีวิตแห่งชาวโลก..จึ่งทำลายสีสันของความมีชีวิตรอด..ทำลายสรรพนามอันควรค่าของเหล่าสรรพชีวิต..
มีเพียง..สัญชาตญาณของดอกไม้บางชนิดเท่านั้นที่ยังคงกล้ายืนทายท้ากับแสงของดวงตะวัน..ในนามแห่งทานตะวัน..จากดอกหนึ่งขยายพืชพันธุ์อันหาญกล้าไปสู่อีกดอกหนึ่ง..แผ่กว้างต่อการจัดการต่อการดำรงอยู่ของพื้นที่ชีวิตไปทั่วทั้งโลก..
“ความงามและความหมาย” ของหนังสือเล่มนี้.จึงเย็นเยียบอยู่ในขณะหนึ่งของการตีความ...กระทั่งกลับกลายเป็นสัญญะความหมายอันสงบงามของปฏิกิริยาแห่งใจสู่ใจ..!
“..จงเติบโตอย่างมีความสุข มีรอยยิ้ม และ เป็นตัวของตัวเองอยู่เสมอ..จงสุขุม เข้มแข็ง และอ่อนโยนต่อผู้อื่น..ในขณะเดียวกัน..ก็จงเป็นในอย่างที่คุณเป็น..!!”
(..*ขอให้รำลึกถึงความจริงแห่งชีวิตในปีเก่าด้วยหัวใจที่เข้มแข็ง...และขอให้ได้พบกับความรื่นรมย์ในปรารถนาแห่งปีใหม่..ด้วยความจริงแห่งความจริง..อันบริสุทธิ์..ทุกๆท่านครับ* )