คืบหน้า ครูอนาจาร นักเรียนหญิง เพื่อนเก่าเผย เคยมีพฤติกรรมละเมิดมาก่อน แค่ไม่เป็นข่าว
จากกรณีครูชายในโรงเรียนระดับประถมศึกษา ในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตก่อเหตุทำ อนาจารเด็กนักเรียน หญิง จำนวนอย่างน้อย 8 ราย ล่าสุดวันที่ 30 ธันวาคม ผู้สื่อข่าวเดินทางไปที่โรงเรียนที่เกิดเหตุ(โรงเรียนบ้านทุ่งคาพะเนียงแตก บุณยขจรประชาอาสา)เพื่อติดต่อพบกับครูในโรงเรียน
เมื่อไปถึงเห็นประตูโรงเรียนเปิดอยู่ด้านหน้า แต่เขียนข้อความว่า ห้ามนำรถเข้ามาภายในโรงเรียนจึงต้องเดินเข้าไปในโรงเรียนและเจอกับครูผู้สอนคนหนึ่ง แต่ไม่ได้ให้ข้อมูลอะไรมากนักบอกแต่เพียงว่าตอนนี้อยู่ในขั้นตอนของ การดำเนินการของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาภูเก็ตต้นสังกัดส่วนรายละเอียดนั้นไม่ทราบ
ทราบอย่างเดียวว่า ตอนนี้ครูที่ถูกกล่าวหาว่าก่อเหตุทำอนาจารเด็กนักเรียนนั้นไม่ได้อยู่ในพื้นที่แล้วไม่ทราบว่าไปอยู่ที่ไหนติดต่อไม่ได้เลยส่วนเรื่องจะจริงหรือไม่จริงนั้น ให้ไปพิสูจน์กันอีกว่าผิดหรือไม่
อย่างไรก็ดี ในขณะที่เดินทางออกจากโรงเรียนมา ได้พบกับ ชาวบ้านที่มีบ้านพักอยู่ใกล้กับโรงเรียน นายม่อน (นามสมมติ) กล่าวว่า รู้จักครูคนนี้ แต่ไม่ได้สนิทกัน สำหรับประวัติของครูคนนี้ทราบว่ามีภูมิลำเนาในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ และเคยสอนอยู่โรงเรียนแห่งหนึ่งที่ตำบลฉลองก่อนที่จะได้บรรจุเป็นครู
หลังจากนั้น ย้ายมาสอนที่โรงเรียนแห่งนี้ส่วนพฤติกรรมของครูคนนี้ที่โรงเรียนเก่า เคยมีประวัติอยู่บ้าง แต่ตอนนั้นมันไม่เป็นข่าวเผยแพร่ดังเหมือนตอนนี้คนเลยไม่ทราบ แต่ปัจจุบันโซเชียลมันแรงจึงได้แชร์พฤติกรรมให้สังคมได้รับรู้กันมากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ ครูอายุประมาณ 30 ปีเศษ มีครอบครัวและมีลูกสาวรุ่นราวคราวเดียวกันกับเด็กนักเรียนที่ถูกทำอนาจารด้วย จะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ แต่คิดว่าเป็นเรื่องจริง เพราะมีผู้ปกครองหลายคนมาเล่าให้ฟัง และตอนนี้มีผู้ปกครองประมาณ 10 คนแล้ว ที่ออกมาเปิดเผยเรื่องนี้ให้ทราบ คิดว่าน่าจะมีมากกว่านี้ด้วย มันเป็นเรื่องที่น่ากลัวมากสำหรับครูที่ทำอนาจารต่อเด็กลูกศิษย์ ถ้าเกิดขึ้นกับลูกตนคงยอมไม่ได้เช่นเดียวกัน
ทางด้าน พตอ.ประเทือง ผลมานะ ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรเมืองภูเก็ตแจ้งว่าผลในทางคดีตอนนี้ต้องรอผลจากการสอบสวนของ เจ้าหน้าที่สหวิชาชีพ ที่สอบปากคำเด็กก่อนและยังไม่ได้ข้อสรุปตอนนี้ทราบเพียงว่าผู้ปกครองมาแจ้งความร้องทุกข์กับเจ้าหน้าที่ตำรวจเพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น ต้องรอให้พนักงานสอบสวนสอบทั้งสองฝ่ายซึ่งเป็นฝ่ายผู้เสียหายกับฝ่ายผู้ก่อเหตุเสียก่อน และถ้ามีมูลความผิดจริง จึงจะแจ้งข้อหาได้
