เมื่อเวลา 21.00 น. วันที่ 4 มกราคม ที่ สภ.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ส่วนหน้า ในอาคารผู้โดยสารชั้น 1 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ มีกลุ่มแรงงานไทยทั้งชายหญิงเกือบ 250 ชีวิต หอบกระเป๋าเดินทาง รวมตัวกันมาขอความช่วยเหลือ หลังจากที่ผู้เสียหายทั้งหมดได้โอนเงินให้กับหญิงสาวรายหนึ่ง เพื่อจะไปทำงานการเกษตรและอุตสาหกรรมในประเทศอิสราเอล โดยนัดเดินทางที่สนามบินสุวรรณภูมิในช่วง 22.00 น. วันที่ 4 ม.ค. แต่เมื่อใกล้เวลาผู้เสียหายทั้งหมดไปเช็กตั๋วเดินทาง กลับไม่พบข้อมูลการจองตั๋วเที่ยวบินแต่อย่างใด จึงพากันมาแจ้งความ
นางสลิลทิพย์ หนึ่งในผู้เสียหาย ชาว จ.บุรีรัมย์ กล่าวว่า ลูกตนได้รับการติดต่อจากคนรู้จักกันบอกปากต่อปากกันมาชักชวนให้ไปทำงานด้านการเกษตร มีรายได้ดี จึงตอบตกลงและโอนเงิน 60,000 บาท ให้กับ น.ส.ออย ที่อ้างว่าเป็นตัวแทนในการจัดหาคนงานไปทำงาน โดยนัดบินในค่ำคืนนี้ จึงพากันเดินทางมาที่สนามบินสุวรรณภูมิ แต่พอมาถึงไม่พบว่ามีการจองตั๋วเครื่องบินแต่อย่างใด พอถาม น.ส.ออย กลับได้รับคำตอบว่าติดต่อคนที่รับงานและรับเงินไปไม่ได้ ซึ่งมีผู้เสียหายประมาณ 250 คน
ด้าน นายธนายุทธ อายุ 36 ปี ชาว จ.สกลนคร ระบุว่า โอนเงินไป 120,000 บาท และเหมารถเดินทางมาจาก จ.สกลนคร ซึ่งตนได้รับการชักชวนจาก น.ส.ออย เนื่องจากมีการระบุเชิญชวนว่าหากไปทำงานจะได้รับเงินเดือนเฉลี่ยเดือนละ 70,000 โดยจะต้องเสียค่าใช้จ่ายรวมเงินกว่าสองแสนบาท แต่ต้องจ่ายก่อน 120,000 บาท ที่เหลือหักจากเงินเดือน ที่ตนหลงเชื่อใจเพราะมีการบอกกันปากต่อปากว่าสามารถพาไปทำงานได้จริง มีคนเคยไปแล้วหลายคน จึงหลงเชื่อโอนเงินจำนวนดังกล่าวให้กับ น.ส.ออย ไป จนมีการนัดหมายให้มาเจอกันที่สนามบินสุวรรณภูมิในคืนนี้ ตนก็มารอตั้งแต่เช้าจนใกล้ถึงเวลากลับไม่มีไฟลต์บินแต่อย่างใด
ขณะที่ น.ส.ออย อายุ 28 ปี อ้างว่า ตนก็ตกเป็นผู้เสียหายเช่นกัน เพราะไปรู้จักกับรุ่นพี่ที่เคยทำงานด้วยกัน ชื่อว่า ฟ้า ชักชวนว่าสามารถพาคนไทยไปทำงานที่ประเทศออสเตรียได้ หากตนสามารถหาคนไปทำงานที่ออสเตรียได้ จะได้ค่าตอบแทนหัวละ 2,000 บาท ส่วนใครที่จะไปทำงานจะต้องมีค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ตั้งแต่ 30,000–60,000 บาท หรือบางคน 1 แสนบาท ถึง 1.5 แสนบาท แล้วแต่ระยะเวลาที่จะอยู่ทำงานที่นั่น
ตนจึงเอาเรื่องราวดังกล่าวไปบอกกับญาติพี่น้อง ว่าหากใครจะไปสามารถติดต่อตนได้และโอนค่าใช้จ่ายผ่านตน ซึ่งพอมีเงินรายได้เข้ามา ตนก็จะเบิกเงินนั้นฝากเป็นเช็กพร้อมกับเอกสารต่างๆ ของผู้เสียหาย นัดมอบเช็กและเอกสารให้กับ น.ส.ฟ้า ซึ่งอ้างว่าทำงานในสถานทูตออสเตรียประจำประเทศไทย โดยทุกครั้งที่มีเงินเข้ามาผ่านบัญชีตน จากผู้เสียหายที่ต้องการเดินทาง ตนก็จะเบิกเงินฝากเป็นเช็กให้กับ น.ส.ฟ้า และนัดมอบเช็กกับ น.ส.ฟ้า ที่หน้าสถานทูตออสเตรีย
ซึ่งรวมผู้เสียหายแล้วประมาณ 250 คน รวมเป็นเงินที่นำฝากผ่านเช็กให้กับ น.ส.ฟ้า ไปกว่า 12 ล้านบาท หลังจากที่ส่งมอบเงินและเอกสารของผู้เสียหายทั้งหมดแล้ว น.ส.ฟ้า บอกว่าจะจัดการการเดินทางทั้งหมดให้ ซึ่งมีกำหนดการเดินทางในค่ำคืนนี้ โดยให้ผู้เสียนำพาสปอร์ตมาแสดงที่เคาน์เตอร์ของสายการบินเท่านั้น จึงนัดผู้เสียหายทั้งหมดมาเจอกันที่สนามบิน จนใกล้เวลาไปเช็กตั๋วเครื่องบินกลับไม่พบข้อมูลการเดินทาง ไม่มีรายชื่อแต่อย่างใด พอโทรกลับไปหา น.ส.ฟ้า ก็ติดต่อไม่ได้ จึงพาผู้เสียหายทั้งหมดมาพบตำรวจ
ขณะที่ ร.ต.อ.ชนธัญ พรหมรักษา รอง สว.(สอบสวน) สภ.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ได้ออกมาแนะนำกลุ่มผู้เสียหาย เบื้องต้นผู้เสียหายจะต้องแจ้งความร้องทุกข์กับทางพนักงานสอบสวนในท้องที่ที่มีการโอนเงิน แต่เนื่องด้วยผู้เสียหายมีจำนวนมากและมูลค่าความเสียหายเยอะ จึงมีการแนะนำให้กลุ่มผู้เสียหายรวมตัวกันไปแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวนกองปราบปราม เพื่อสะดวกกับการทำสำนวนคดี โดยผู้เสียหายทั้งหมดนัดรวมตัวเตรียมเข้าแจ้งความร้องทุกข์กับทางพนักงานสอบสวนที่กองปราบปรามใน วันที่ 6 ม.ค.68 ในเวลา 10.00 น.