เมื่อวันที่ 6 ม.ค.67 นายมงคล พิพัฒสัตยานุวงศ์ นายกสมาคมผู้ผลิต ผู้ค้าและส่งออกไข่ไก่ ได้กล่าวถึงสถานการณ์ไข่ไก่ ปี 2568 และปัจจัยหลักที่ทำให้เกษตรกรหลายราย ต้องเผชิญกับต้นทุนผลิตที่สูงมากขึ้น ผู้เลี้ยงไข่ไก่ต้องรับภาระหนักมากขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อต้นการผลิต ปัจจัยหลักนั้น คือ ค่าแรงขั้นต่ำที่มีการปรับเพิ่มเป็น 400 บาทต่อวัน รวมถึงราคาข้าวโพดสัตว์เลี้ยงที่มีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยัจจุบันเฉลี่ยที่ 11.20 บาทต่อกิโลกรัม จาก 10.30 บาท ในเดือนพฤศจิกายน 2567
ซ้ำหนัก “โรคระบาดไข้หวัดนก”
นอกเหนือจากต้นทุนการผลิตที่เพิ่มสูงมากขึ้น ทั้งค่าแรงขั้นต่ำ และค่าอาหารสัตว์ ซ้ำหนัก “โรคระบาดไข้หวัดนก” ในพื้นที่ภูมิภาคเอเชียและประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้เกิดความเสียหายต่อสัตว์ปีกในวงกว้าง ทั้งไก่เนื้อ ไก่ไข่ และสัตว์ปีกชนิดอื่นๆ หากยังไม่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดของโรคได้ จะส่งผลหนักต่อเกษตรกร ที่จะต้องมีค่าใช้จ่ายในการป้องโรคเพิ่มขึ้น และจะกระทบไปถึงการปรับสวัสการเพื่อดูแลคนงานที่ปฏิบัติงานในฟาร์มต่างๆ ทั้งค่าอาหารและที่พัก เนื่องจากความเสี่ยงที่ต้องทำงานป้องกันโรคระบาด ทำให้ต้นทุนค่าแรงนั้น เพิ่มสูงขึ้น
ทุกข์หนัก รับปี 2568นายมงคลกล่าวว่า “โดยรวมนี้ผู้ค้าไข่ได่ต้องเผชิญความยากลำบากหลายด้าน ทั้งค่าแรง วัตถุดิบอาหารสัตว์ โรคระบาดไข้หวัดนก ในภูภาคเอเชียที่ส่งผลกระทบให้แม่ไก่นับล้านตัวต้องตาย ล้วนแล้วเป็นต้นทุนการผลิตที่เพิ่มสูงทมากขึ้น และเกษตรกรหลายรายอาจจะปรับตัวไม่ได้”
ราคาไข่ไก่ปรับลดสวนทางต้นทุนการผลิต
ซึ่งราคาแนะนำไข่ไก่หน้าฟาร์มลดลงอย่างต่อนเอง ตั้งแต่เดือนตุลาคม-พฤศจิกายน เมื่อปี 2567 จากฟองละ 4 บาท ปัจจุบันเหลือฟองละ 3.60 บาท เห็นได้ว่าเป็นราคาที่สวนทางกับต้นทุนการผลิตอย่างมาก หากต้นทุนยังสูงอยู่แบบนี้ เกษตรกรคงไปต่อไม่ไหว วอนหหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งแก้ไขและเข้ามาช่วยดูแล เพื่อให้เกษตรกรสามารถดำเนินกิจการฟาร์มได้ต่อไป
นายมงคลกล่าวทิ้งท้ายว่า
“ประเทศไทยมีเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ไข่ประมาณ 2.7 ล้านราย ผลิตไข่ไก่อาหารโปรตีนคุณภาพสูงในราคาสมเหตุผลให้กับผู้บริโภคอย่างเพียงพอ แต่ต้นทุนการผลิตซึ่งเป็นปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมการผลิตจำเป็นต้องได้รับการดูแล ที่สำคัญผู้บริโภคต้องมั่นใจกับคุณภาพอาหารปลอดภัยจากการดูแลและปัองกันสัตว์ตามมาตรฐานสากล เพื่อรักษาเสถียรภาพราคาให้ผู้เลี้ยงอยู่ได้และผู้บริโภคอยู่ได้”
