ตลาดหลักทรัพย์ ชี้ หุ้นไทยเผชิญความท้าทาย-ผันผวนรับนโยบายทรัมป์
Pornchanok January 08, 2025 06:23 PM

ตลาดหลักทรัพย์ ชี้ หุ้นไทยเผชิญความท้าทาย-ผันผวนรับนโยบายทรัมป์ตลาดหลักทรัพย์ฯ เผยตลาดหุ้นไทยปี 67 ค่อนข้างอยู่ที่เดิม SET Index ปรับลดลงเพียง 1.1 % มองเดือน ธ.ค-ม.ค. ยังเผชิญความท้าทายจากการกลับมาของโดนัล ทรัมป์ ด้านฟันด์โฟลว์ปี 67 ไหลออก 1.4 แสนล้าน คาดทิศทางยังคงไหลออกอยู่ จากความไม่แน่นอนนโยบายทรัมป์ ลุ้นกำไรบจ. Q4/67 คาดเติบโตหนุนดัชนีปรับขึ้น

นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทย เดือน ธ.ค. ที่ผ่านมา มีทั้งปัจจัยที่สนับสนุนและความท้าทายทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยสิ่งที่ท้าทายที่สุดเดือน ธ.ค. จนถึงต้นเดือน ม.ค. ประเมินว่าเป็นนโยบายของโดนัล ทรัมป์ ซึ่งเป็นภาพใหญ่ของตลาดทุนทั่วโลกว่าจะกระทบอย่างไร แน่นอนว่าพอเกิดความไม่แน่นอน เม็ดเงินจะไหลกลับเข้าไปที่สหรัฐ และสินทรัพย์ปลอดภัยมากขึ้น จะเห็นได้ว่าช่วงครึ่งแรกของปี 2567 ตลาดหุ้นลดลง และปรับขึ้นช่วงครึ่งปีหลัง จนถึงเดือน ต.ค.-พ.ย. ที่โดนัล ทรัมป์ชนะการเลือกตั้งเม็ดเงินเริ่มไหลออก ดังนั้นตลาดหุ้นไทย ปี 2567 ค่อนข้างอยู่ที่เดิม SET Index ปรับลดลงเพียง 1.1 %

ขณะที่ปัจจัยสนับสนุนยังเป็นเศรษฐกิจไทยในปี 2567 และปี 2568 ยังสามารถขยายตัวได้ดี นำโดยภาคการส่งออกและการท่องเที่ยวยังเติบโตได้ดี รวมถึงกองทุน Thai ESG ที่เม็ดเงินรวมใกล้เคียง 3 หมื่นล้านบาท ตามเป้าที่ตั้งไว้ได้ ขณะที่ปัจจัยเกี่ยวกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ส่งสัญญาณว่าจะปรับลดดอกเบี้ยในปีนี้ 1-2 ครั้ง จากเดิมที่มองว่า 3-4 ครั้ง ซึ่งอาจจะกังวลเรื่องอัตราเงินเฟ้อ จากนโยบายของโดนัล ทรัมป์ ที่ยังคงต้องติดตาม

ด้านเม็ดเงินลงทุนต่างชาติ (ฟันด์โฟลว์) ปีที่แล้วไหลออกไปประมาณ 1.4 แสนล้านบาท ขณะที่ในช่วงต้นปีนี้ยังเป็นบวก และยังคงต้องติดตามต่อจากปัจจัยที่ยังมีความไม่แน่นอน ทั้งการเข้ามาของโดนัล ทรัมป์ ทำให้มองว่าทิศทางฟันด์โฟลว์ยังคงไหลออกอยู่ และยังคงต้องติดตามการรายงานตัวเลขกำไรบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 4/67 คาดว่าจะเติบโตมากขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า

ขณะที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ปรับลดคาดการณ์ GDP ของโลกในปี 2568 ลงเล็กน้อย จากความกังวลเกี่ยวกับความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์และการแยกตัวทางเศรษฐกิจ (Decoupling) อาจทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกต้องเผชิญกับความผันผวนและการเติบโตช้าลง สอดคล้องกับมุมมองธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ที่ประชุมเมื่อกลางเดือนธันวาคม 2567 แม้มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% มาอยู่ที่ระดับ 4.25-4.50% แต่ส่งสัญญาณว่าในปี 2568 การใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายอาจจะไม่ง่ายนัก ทำให้ตลาดหุ้นกลับตอบสนองในเชิงลบในระยะสั้น

สำหรับภาวะตลาดหลักทรัพย์ไทย ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2567 SET Index ปิดที่ 1,400.21 จุด ทำให้ช่วงครึ่งหลังของปี 2567 SET Index ปรับเพิ่มขึ้น 7.6% ส่งผลให้ตั้งแต่ต้นปีถึงสิ้นเดือนธันวาคม 2567 SET Index ปรับลดลงเพียง 1.1% เดือนธันวาคม 2567 กลุ่มอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีกว่า SET Index เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2566 ได้แก่ กลุ่มเทคโนโลยี และกลุ่มการเงิน

มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันใน SET และ mai อยู่ที่ 40,704 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.8% จากเดือนธันวาคม 2566ขณะที่ในปี 2567 มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 46,551 ล้านบาท ลดลง 12.7% จากปีก่อน อย่างไรก็ตาม เห็นสัญญาณเกี่ยวกับมูลค่าการซื้อขายผู้ลงทุนสถาบันในประเทศเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับสูงกว่า 10% ของมูลค่าซื้อขายทั้งหมด สามเดือนต่อเนื่อง

พร้อมกันนี้เดือนธันวาคม 2567 มีบริษัทเข้าจดทะเบียนใหม่ซื้อขายใน SET 1 หลักทรัพย์ ได้แก่ บมจ. โรงพยาบาลนครธน (NKT) และ ใน mai 1 หลักทรัพย์ ได้แก่ บมจ. อินสไปร์ ไอวีเอฟ (IVF)

ขณะที่ Forward P/E ของตลาดหลักทรัพย์ไทย ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2567 อยู่ที่ระดับ 16.0 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 12.8 เท่า และ Historical P/E อยู่ที่ระดับ 18.8 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 14.6 เท่า อัตราเงินปันผลตอบแทน ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2567 อยู่ที่ระดับ 3.45% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ 3.17%

© Copyright @2025 LIDEA. All Rights Reserved.