สยามรัฐ ยึดมั่นอุดมการณ์ปกป้องเทิดทูนสถาบันชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ยืนหยัดรับใช้สังคมด้วยจิตสำนึกแห่งความรับผิดชอบ …*…

การเมืองไทยเปิดศักราชใหม่ปี 2568 พร้อมกับข่าวลือเรื่องการปรับครม. ที่แพร่สะพัดหนักขึ้นหลังนายจตุพร พรหมพันธุ์ อดีตแกนนำเสื้อแดง โพสต์เฟซบุ๊กว่า นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกฯ และ รมว.พลังงาน จากพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) มีแววจะถูกปรับออกจาก ครม. เพราะเป็นรัฐมนตรีต้องการล้างบางทุนผูกขาดน้ำมัน แก๊ส ไฟฟ้าที่มีสัมพันธ์แน่นหนากับรัฐบาลพรรคเพื่อไทย แม้ขณะนี้นายพีระพันธุ์ มีภูมิต้านทานจากสังคม เพราะความนิยมเริ่มขยับเพิ่ม แต่การจัดการต้องเร็วมากขึ้นตามด้วย ส่วนพรรคภูมิใจไทยเป็นพรรคมีประสบการณ์และรู้เท่าทันผู้นำพรรคเพื่อไทย จึงเป็นเกราะกำบังให้อยู่ร่วมรัฐบาลไปได้เรื่อย …*…

 กระทั่งนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯในฐานะผู้มีบารมีนอกรัฐบาลต้องดับกระแสข่าวลือปฏิเสธเรื่องการเตรียมปรับนายพีระพันธุ์ออกจากครม. โดยยืนยันว่าไม่มีปัญหาใดๆ ในการพูดคุยกับนายพีระพันธุ์ที่เป็นคนตั้งใจทำงาน รู้จักกันมานาน มีความคุ้นเคยกัน รู้เรื่องทุกเรื่อง …*…

และนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกฯออกโรงย้ำซ้ำว่าไม่เคยมีการพูดเรื่องการปรับ ครม. คิดว่าอำนาจการปรับ ครม.น่าจะเป็นของนายกฯ แต่นายกฯยังไม่ทราบเลยว่าจะมีการปรับ ครม.เกิดขึ้น นายพีระพันธุ์ก็พูดคุยกันอยู่ใน ครม. ก็เจอกัน ไม่มีการจะปรับอะไร …*…

ขณะที่มีข้อสังเกตจากนายพีระพันธุ์ว่าในช่วงสองสามเดือนก่อนสิ้นปี 2567 ถูกกลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่าสื่อบางกลุ่มรุมกระหน่ำปั้นข่าวทุกรูปแบบ โดยเฉพาะเมื่อมีข่าวเปิดตัวพรรคใหม่ทุนหนา ก็มีบัญชีอวตารเปิดใหม่พรึ่บเพื่อใช้ถล่มตนเองแบบไม่ยั้งมือ แต่ไม่เคยหวั่นไหว และจะทำในสิ่งที่ต้องทำเสมอ …*…

 “พอเห็นว่ากลยุทธ์แบบเดิมทำท่าจะเล่นงานไม่ไหว ก็ไปปั้นข่าวว่าผมขัดแย้งกับนายกฯบ้างขัดแย้งกับพรรคแกนนำรัฐบาลบ้าง ทั้งๆ ที่ผมและทั้งนายกฯ แพทองธารและอดีตนายกฯ เศรษฐาไม่เคยมีอะไรขัดแย้งกันเลย”นายพีระพันธุ์ระบุ …*…

ย้อนกลับมาดูสาเหตุที่มาที่ไปของข่าวลือการปรับนายพีระพันธุ์พ้นรัฐบาลแล้ว เชื่อว่าเป็นเพราะการทำงานของนายพีระพันธุ์ได้ส่งผลกระทบต่อกลุ่มทุนผู้ขาดที่มีอำนาจทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นการเบรกการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเพิ่มเติม สำหรับกลุ่มที่ไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิงและขยะอุตสาหกรรมสำหรับปี 2565-2573 ปริมาณรวม 3,668 .5 เมกะวัตต์ ที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติได้เคยให้ความเห็นชอบไว้ เพื่อดำเนินการตรวจสอบความถูกต้อง …*…

รวมไปถึงการผลักดันร่างกฎหมายกำกับการประกอบกิจการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง ที่วางกรอบไม่ให้มีการปรับราคาน้ำมันขึ้นลงรายวัน มีระบบพิสูจน์ต้นทุน และยกเลิกการอ้างอิงราคาน้ำมันที่ตลาดสิงคโปร์ โดยนำระบบต้นทุนบวกค่าใช้จ่ายจริงที่เรียกว่าระบบ COST PLUS มาใช้แทน ที่สำคัญคือ จะให้มีน้ำมันเพื่อเกษตรกร และชาวประมงในราคาที่ถูกลง และเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการขนส่งและองค์กรสาธารณกุศลสามารถนำน้ำมันเข้ามาใช้ได้เอง ที่จะช่วยลดต้นทุนลงได้มาก และยังจะเปิดโอกาสให้รัฐสามารถจัดให้มีน้ำมันเพื่อผู้มีรายได้น้อยด้วย …*…

ตลอดจนร่างกฎหมายส่งเสริมการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ หรือ โซลาร์รูฟ ซึ่งจะพังทลายกฎเกณฑ์กติกาเดิมๆ ที่ทำให้การใช้ไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์เป็นเรื่องยุ่งยากและล่าช้า โดยได้ยกเลิกการขออนุญาตทุกรูปแบบ และเปลี่ยนมาเป็นการติดตั้งได้ทันทีตามกฎเกณฑ์ที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน เมื่อติดตั้งแล้วก็ใช้ระบบแจ้งให้ทราบ จากนั้นแต่ละหน่วยงานก็จะไปตรวจสอบเอง หากมีสิ่งใดต้องแก้ไขก็ว่ากันไป ไม่ต้องเสียเวลารอการอนุญาตจากเจ้าหน้าที่ไม่กี่คน …*…

พร้อมกันนี้จะมีการต่อยอดจากกฎหมายส่งเสริมการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อช่วยประชาชนให้ลดค่าใช้จ่ายด้านไฟฟ้าลงนั้น โดยนายพีระพันธุ์เปิดเผยว่ากำลังดำเนินการให้กระทรวงพลังงานผลิตอุปกรณ์ที่เป็นอุปกรณ์หลักในการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่เรียกว่าเครื่อง Invertor ที่มีราคาแพงประมาณเครื่องละ 30,000 - 40,000 บาท โดยน่าจะผลิตได้ในราคาเพียง 1 ใน 3 ของราคาในท้องตลาดเท่านั้น และจะหารือกับกระทรวงการคลังเพื่อให้ประชาชนสามารถหักค่าใช้จ่ายส่วนนี้จากภาระภาษีเงินได้ประจำปีด้วย อีกทั้งยังกำลังดำเนินการหาแนวทางให้กองทุนส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในสังกัดกระทรวงพลังงานสามารถสนับสนุนเงินทุนหรืออย่างใดอย่างหนึ่งให้ประชาชนด้วย …*…

ที่มา:เจ้าพระยา (9/1/68)