ทนายวิฑูรย์ ลั่นจำเลยทั้งหมดขอให้การปฏิเสธ เตรียมขอเสนอบัญชีพยานมากกว่า 100 ปาก ต่อสู้ในชั้นศาล ชมอัยการกล้าหาญให้ความยุติธรรมสั่งไม่ฟ้อง ‘บอสแซม’ และ ‘บอสมิน’
เมื่อวันที่ 9 มกราคม ที่ห้องเวรชี้ ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดสอบคำให้การจำเลยในคดีหมายเลขดำที่ อทย.14/2568 ที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีพิเศษเป็นโจทก์ ฟ้อง บริษัท ดิ ไอคอน กรุ๊ป โดย นายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล หรือ บอสพอล กับพวกเป็นจำเลยที่ 1-17 ในความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชน, ร่วมกันโดยทุจริตหรือหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน, ร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน, ร่วมกันประกอบธุรกิจขายตรงประกอบธุรกิจตลาดแบบตรงดำเนินกิจการในลักษณะที่เป็นการชักชวนให้บุคคลเข้าร่วมเป็นเครือข่ายในการประกอบธุรกิจโดยตกลงว่าจะให้ผลประโยชน์ตอบแทนจากการหาผู้เข้าร่วมเครือข่ายดังกล่าวซึ่งคำนวณจากจำนวนผู้เข้าร่วมเครือข่ายที่เพิ่มขึ้นโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย และร่วมการประกอบธุรกิจขายตรงโดยไม่ได้รับอนุญาต
โดยวันนี้ศาลได้มีคำสั่งให้เบิกตัวจำเลยทั้ง 16 คน มาจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร และทัณฑสถานหญิงกลาง เพื่อนำตัวมาสอบคำให้การที่ห้องเวรชี้ โดยมีนายวิฑูรย์ เก่งงาน ทนายความของบอสพอล เดินทางมาร่วมการฟังการพิจารณาด้วย
นายวิฑูรย์กล่าวว่า ขั้นตอนในวันนี้หลังจากที่พนักงานอัยการได้ยื่นฟ้องจำเลยทั้ง 17 ราย เป็นนิติบุคคล 1 ราย เมื่อช่วงเวลา 15.00 น. ของวันที่ 8 ม.ค.ที่ผ่านมา ศาลได้นัดสอบคำให้การจำเลยทั้งหมดในวันนี้ว่าจะให้การรับสารภาพหรือปฏิเสธ จากนั้นจะมีการนัดสอบคำให้การและนัดตรวจพยานหลักฐานต่อไป คาดว่าจะอยู่ในราวช่วงมีนาคม-เมษายน ทั้งนี้จำเลยทั้งหมดจะให้การปฏิเสธข้อกล่าวหา ส่วนเหตุผลในการปฏิเสธจะมายื่นโดยละเอียดในชั้นนัดตรวจพยาน
ตอนนี้ตนอยู่ระหว่างกำลังขอรายชื่อผู้ที่แจ้งความจะได้มาคัดกันว่า คนไหนอยู่ในสายบอสของคนไหน เพื่อแยกแต่ละคนว่า ผู้ที่แจ้งความไปถึงบอสแต่ละคนมีจำนวนเท่าไหร่ ในชั้นสืบพยานจะมีพยานประมาณ 100 ปาก พร้อมนำพยานที่ไม่ได้สอบสวนในชั้นพนักงานสอบสวนมาร่วมสืบพยานในชั้นศาล มีพยานกลุ่มตัวแทน พยานที่เป็นแพทย์ที่ทำการพัฒนาสินค้า และฝ่ายการตลาดสื่อโฆษณาที่จะต้องเข้ามาเบิกความในชั้นศาลด้วย
นายวิฑูรย์ กล่าวว่า เรื่องการประกันตัวจำเลยได้มีการประชุมกับทีมทนายว่า จะยื่นประกันช่วงไหนอย่างไร โดยได้มีความเห็นว่าจะยื่นประกันตัวในช่วงตรวจพยานหลักฐาน ทั้งนี้ตนมีความกังวลว่าด้วยเอกสารการสอบสวนของ DSI มีจำนวนมากถึง 300,000 แผ่น เปรียบเสมือนยอดภูเขาน้ำแข็ง และมีเอกสารของทางบริษัทเกี่ยวข้องกับ ดีลเลอร์ เก็ท ดีลเลอร์ อีก 2 แสนแผ่น และเอกสารการทำธุรกรรมของแต่ละคนอีกมหาศาล หากปรินต์ออกมาจากระบบคอมพิวเตอร์จะต้องมีเยอะมาก และคนที่รู้ดีเกี่ยวกับเอกสารคือตัวพนักงานและตัวจำเลย เพราะฉะนั้นการประกันตัวจำเลยออกมาต่อสู้คดีจึงมีความจำเป็นมาก คดีดังกล่าวเป็นคดีอาญาทางธุรกิจ ไม่ใช่คดีฆ่าคนตาย หรือค้ายาบ้า เพราะฉะนั้นการประกันตัวออกมาสู้คดีเพื่อเสนอข้อมูลหลักฐานต่อศาลและเอกสารอธิบายหลักฐานต่อศาลจึงมีความจำเป็น
นายวิฑูรย์ กล่าวต่อว่า ในส่วนที่อัยการมีคำสั่งไม่ฟ้อง นายยุรนันท์ ภมรมนตรี หรือบอสแชม และ น.ส.พีชญา วัฒนามนตรี หรือบอสมิน ตนรู้สึกดีใจมากที่อัยการสั่งไม่ฟ้อง อันที่จริงบริษัท ดิ ไอคอน ไม่ได้ทำอะไรผิดกฎหมาย ไม่ได้ขายสินค้าที่ไม่มีคุณภาพหรือไม่มีอย. การสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาทั้งสองคนถือเป็นความกล้าหาญของทางอัยการที่ยึดถือความยุติธรรม เป็นหลักส่วนผู้ต้องหาที่สั่งฟ้องตนก็ไม่ได้หมายความว่า ท่านไม่ยุติธรรมกับเรา แต่ต้องต่อสู้คดีกันไปตามกระบวนการชั้นศาล
ตนอยากตั้งคำถามว่า การจับกุมผู้ต้องหาทั้งหมดรวมถึงคุณมินและคุณแซม มีการคัดค้านการประกันตัวและไม่ได้รับการประกันตัว จะรับผิดชอบชีวิตของบอสแซมและบอสมินอย่างไร อยากถามว่าคุณทำงานตามกระแสสังคมหรือไม่ การที่อัยการสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาทั้งสองคนแสดงว่าไม่มีพยานหลักฐานโยงถึงทั้งคู่เลย ต่อให้อธิบดี DSI แย้ง ตนก็ไม่ได้กังวลเรื่องดังกล่าว
“การจับกุมผู้ต้องหาทั้งหมดแล้วอายัดทรัพย์สิน เอาไปควบคุมตัวไว้ในเรือนจำและคัดค้านการประกันตัว ปิดช่องทางการต่อสู้ยังมีความเป็นธรรมกับตัวผู้ต้องหาหรือไม่ เข้าใจได้ว่าทางตำรวจ DSI พนักงานอัยการท่านมีอำนาจรัฐในมือ ทนายความเป็นภาคเอกชนเพียงภาคเดียวที่ไม่มีอำนาจรัฐในมือ เรามีอย่างเดียวคือ การหาสิทธิการประกันตัว เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานในการออกมาต่อสู้คดีให้แก่พวกเขา พวกผู้ต้องหาที่ติดคุกเขาไม่ได้ติดเพียงคนเดียว แต่ครอบครัวเขาก็ต้องตามไปเยี่ยม เหมือนกับครอบครัวต้องติดไปด้วย”นายวิฑูรย์กล่าว
นายวิฑูรย์กล่าวอีกว่า ส่วนกรณีที่กลุ่มอ้างเป็นผู้เสียหายมายื่นคำร้องต่อศาลขอคัดค้านการปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาทั้งหมดนั้น โดยอ้างว่าตนข่มขู่พยานและอ้างว่าตนข่มขู่ว่าจะฟ้องดำเนินคดี ตนยืนยันว่าจะดำเนินคดีกับผู้ที่แจ้งความเท็จ เป็นสิทธิตามกฎหมาย ไม่ใช่การข่มขู่ส่วนเรื่องที่มีการมายื่นให้สภาทนายความสอบมรรยาททนายความกับตนนั้น เห็นว่าเป็นการกลั่นแกล้งกันมากกว่า เพื่อที่จะปิดปากตน