วันนี้ขออนุญาตเกริ่นนำเรื่องทางวิชาการสักเล็กน้อย พูดถึงสมการหรือการคำนวณอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือ GDP รัฐบาลนั้นใช้เครื่องมือหรือเรียกกันง่าย ๆ ว่าเครื่องยนต์ 4 ตัว ตัวแรก การบริโภค (Consumption) ตัวที่สอง การลงทุน (Invesment) ตัวที่สาม รัฐบาล (Government) ตัวสุดท้าย รายได้ส่งออกลบด้วยรายจ่ายนำเข้า หรือ EX-IM (Export-Import)
หน่วยงานรัฐบาลแต่ละแห่งจะเกี่ยวข้องกับเครื่องมือทั้ง 4 ตัวตามภาระหน้าที่ที่ต่างกันไป อาทิ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ชื่อก็บอกแล้ว Investment กระทรวงพาณิชย์เกี่ยวข้องเยอะหน่อย ตามกฎหมายต้องดูแลเรื่องการบริโภคกับ EX-IM แต่มีของแถมพ่วงเข้ามาด้วยเวลาไปเจรจาการค้ากับต่างประเทศ คือต้องทำหน้าที่ชักชวนเขามาลงทุน
เมื่อเร็ว ๆ นี้ได้นั่งสนทนากับทีมงานของรัฐมนตรีพาณิชย์ พิชัย นริพทะพันธุ์ ฟังแล้วขอบอก เป้าหมายและแผนงานของรัฐมนตรีท่านนี้ไม่เบา รู้ปัญหาอย่างลึกซึ้ง วิธีแก้ไขปัญหามีหลากหลาย เริ่มต้นจากการบริโภค พาณิชย์ต้องพยายามรักษาสมดุลของราคาสินค้าระหว่างชาวบ้านกับผู้ประกอบการให้มีความเป็นธรม
ช่วงนี้กรอบเงินเฟ้ออยู่ระดับต่ำ 0.3-1.3% หรือตามตัวเลข ธปท.เงินเฟ้อทั่วไป 1.1% ฉะนั้น ปัญหาราคาสินค้าไม่หนักมาก แต่ต้องเตรียมตัวไว้รับวิกฤตราคาพลังงานที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ซึ่งจะเป็นตัวผลักให้เงินเฟ้อสูงขึ้น
เรื่องราคาสินค้าอาจจะมีเรื่องปวดหัวบ้าง เพราะปีนี้สินค้าเกษตรราคาตกต่ำ แต่ประเด็นช่วยเหลือได้เตรียมไว้บ้างแล้ว สินค้าเกษตรราคาขึ้นตามฤดูกาล ต้องบริหารจัดการ หรือแทรกแซง มาตรการมีหลายอย่าง อาทิ นำสินค้าเกษตรจากพื้นที่ที่มีเหลือเฟือไปขายพื้นที่ที่ขาดแคลน หรือสนับสนุนให้แปรรูปสินค้าเกษตรมากขึ้น เพื่อยกระดับราคา มีกรณีตัวอย่างที่ LA สหรัฐ ผู้ผลิตเกี๊ยวน้ำเขาขายดีมาก ๆ ยอดขายเติบโตปีละ 20 กว่าเปอร์เซ็นต์ทุกปี
เรื่องการส่งออกเป็นไฟต์บังคับ ท่านรัฐมนตรีพิชัยต้องรักษาตลาดเก่าและเพิ่มตลาดใหม่
ตลาดเก่าของไทยส่วนใหญ่ขายสินค้าปฐมภูมิ ต้องพยายามส่งเสริมหรือโปรโมตให้แปรรูปสินค้าเกษตรเพื่อยกระดับราคาให้สูงขึ้น ตัวอย่าง ปัจจุบันจีนซื้อเนื้อจากไทยในรูปแบบซื้อวัวเป็น ๆ เดินทางผ่านลาว พม่า แล้วไปเข้าโรงเชือดที่จีน ตอนนี้กำลังเจรจาให้จีนมาตั้งโรงเชือดชำแหละเนื้อวัวตามมาตรฐานจีนที่ประเทศไทย แล้วส่งออกเนื้อวัวแช่แข็งไปจีน หรือพัฒนาการบริโภคของลูกค้า สอนให้คนจีนกินทุเรียนอย่างไรให้ถูกต้อง แทนที่จะกินทุเรียนปลาร้าเช่นทุกวันนี้
เรื่อง Free Trade Agreement (FTA) ประเทศไทยมีปัญหาเรื่อง FTA มาตั้งแต่สมัยผู้นำทหารรัฐประหารรัฐบาลพลเรือน ต่างประเทศเขาต่อต้านด้วยการไม่ยอมเซ็นสัญญา หรือไม่ต่อสัญญา สินค้าไทยต้องแบกรับภาระภาษีนำเข้า เสียเปรียบคู่แข่งขัน ครั้นเราได้รัฐบาลประชาธิปไตยที่มาจากเลือกตั้ง ประตู FTA เปิดโล่ง จากเดิมไม่คุยด้วยกลับมาคุยกันหาข้อสรุป
ล่าสุดประเทศไทยจะเซ็นสัญญา FTA กับสมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป หรือ EFTA (European Free Trade Associations) ซึ่งมีสมาชิก 4 ชาติ สวิส นอร์เวย์ ลิกเตนสไตน์ และไอซ์แลนด์ ภายในงาน World Economic Forum เมืองดาวอส ประเทศสวิส สัญญาดังกล่าวเป็นสัญญาฉบับแรกของรัฐบาลนี้ และจะเป็นสปริงบอร์ดให้ไทยเข้าไปทำ FTA กับ EU ได้ง่ายขึ้น
FTA ฉบับนี้เริ่มต้นตั้งแต่สมัย “พ่อ” สมัยคุณทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี แล้วมาจบสมัย “ลูก” คุณแพทองธาร ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี แล้วเธอจะเดินทางไปลงนามด้วยตัวเองช่วงวันที่ 23-24 มกราคมนี้
ประเด็นสำคัญ ต้องชื่นชมในความสามารถของเจ้าหน้าที่กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ต้องยกย่องข้าราชการตั้งแต่หัวแถวจนปลายแถว ทุกคนที่ทำหน้าที่รักษาผลประโยชน์ของไทยอย่างเต็มความสามารถ การเจรจาที่ผ่านมาหลายปีเรียกว่า “คมเฉือนคม” กันตลอดทาง
แล้วต้องขอปรบมือให้กับรัฐมนตรีพิชัย เพราะท่านใช้กระบวนท่าหลายกระบวนท่าตะล่อมให้ทั้ง 4 ชาติเห็นตรงกัน โดยเฉพาะใช้ “Connection” ล็อบบี้เพื่อนสนิทของผู้นำประเทศจนประสบความสำเร็จ