พิธา ปลุกเชียงใหม่ใช้สิทธิเลือกตั้งนายก อบจ. ยกภาษิต ‘ของใหม่บ่ลอง ของงามบ่เห็น’ ชู พันธุ์อาจ นั่งนายกอบจ. ไม่พูดอย่างทำอีกอย่าง
เมื่อวันที่ 12 มกราคม ที่อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ในฐานะผู้ช่วยหาเสียงพรรคประชาชน ปราศรัยในช่วงเย็นช่วย นายพันธุ์อาจ ชัยรัตน์ ผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงใหม่ โดยทักทายว่า “ทำไมเชียงใหม่หน้าหนาวอบอุ่นขนาดนี้” ก่อนกล่าวขอบคุณพี่น้องชาวเชียงใหม่ทั้งหมดที่ให้การต้อนรับตนเป็นอย่างดี
นายพิธา กล่าวถึงเหตุผลที่ตนมาในวันนี้ เนื่องจากวันที่ 1 กุมภาพันธ์ที่จะถึงนี้ จะมีการเลือกตั้งนายก อบจ.ทั่วประเทศ ขอให้ทุกคนไปใช้สิทธิใช้เสียงกันเยอะๆ ข้อความสำคัญในการปราศรัยวันนี้ คือสุภาษิตที่ชาวเหนือคนหนึ่งเคยบอกตนไว้ ว่า “ของใหม่บ่ลอง ของงามบ่เห็น” หมายความว่า ถ้าไม่ได้ลองคนใหม่ ทีมงานใหม่ วิสัยทัศน์ใหม่ การทำงานใหม่ เชียงใหม่ในยุคสมัยใหม่ ที่เราเผชิญอยู่นั้น ก็อาจไม่สามารถตอบสนองต่อความท้าทาย และศักยภาพใหม่ ที่เชียงใหม่กำลังเผชิญอยู่
แน่นอนว่า การเลือกตั้งในครั้งนี้ มีตัวเลือกมากมาย ไม่ต่างจากการเลือกตั้งในปี 66 ที่เป็นการเลือกตั้งใหญ่ทั่วประเทศ และมีพรรคการเมืองมากมาย ส่งแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี และส่งผู้สมัคร ให้พี่น้องได้เลือก ครั้งนี้ก็เช่นกัน และแต่ละเบอร์มีข้อเสียแตกต่างกัน
ดังนั้น พี่น้องต้องลองพิจารณาดูให้ดี ว่าขณะนี้เชียงใหม่เปลี่ยนไปมากขนาดไหน อยู่ในยุคสมัยใหม่ ที่เผชิญกับความท้าทาย และศักยภาพใหม่ ที่เราไม่เคยเจอมาก่อน ทั้งปัญหาดินถล่ม น้ำท่วม ไฟป่า ฝุ่น PM 2.5 จึงต้องการองคาพยพใหม่ นายก อบจ.คนใหม่ ทีมงานใหม่ รวมถึงยุทธวิธีในการทำงานใหม่ เพื่อตอบสนองยุคสมัยใหม่ของเชียงใหม่ที่เรากำลังเผชิญอยู่
นายพิธา กล่าวต่อว่า หากถามว่าคนอย่างนายกพันธุ์อาจ ต้องการจะเปลี่ยนอะไรใหม่ๆ ให้กับเชียงใหม่บ้าง ก็ต้องบอกว่า การเป็นคนรุ่นใหม่ไม่ได้หมายความว่า ต้องการแก้ปัญหาให้กับคนรุ่นใหม่เพียงอย่างเดียว แต่ไม่ว่าจะเป็นคนรุ่นใหม่ หรือคนรุ่นใหญ่ นายพันธุ์อาจก็มีนโยบายดีๆ ที่จะนำเทคโนโลยีมาใช้ ดูแลทุกช่วงวัยตั้งแต่เด็ก ทุกอย่างไม่ได้เป็นคำพูดที่ลอยอยู่ในอากาศ และไม่สามารถที่จะจับลงมาได้ ถ้านายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน สส.เชียงใหม่พรรคประชาชน ทั้ง 7 คน นายพันธุ์อาจ และทีมสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ส.อบจ.) ทำงานกันอย่างไร้รอยต่อ ก็จะสามารถพัฒนายุคสมัยของเชียงใหม่ให้เปลี่ยนไปได้
ทั้งหมดนี้เป็นไปได้ เพราะเชียงใหม่มีงบประมาณ จากภาษีประชาชนของพวกท่านทั้งนั้น บางทีเราก็มานั่งนึกกัน ว่าภาษีที่ถูกเก็บทั้งหมดมลายหายไปไหน เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา ไม่สามารถตอบโจทย์กับความท้าทายและยุคสมัยที่เชียงใหม่กำลังเผชิญอยู่ วันนี้คือเหตุผลที่บอกว่า นายก อบจ.คนใหม่ ปีใหม่ การทำงานแบบยุทธศาสตร์ใหม่ การปฏิบัติอะไรแบบใหม่ ให้ทันกับความท้าทายใหม่ ให้กับคนรุ่นใหม่ และคนรุ่นใหญ่ไปพร้อมๆ กัน
นายพิธา ชี้ว่า นี่เป็นสิ่งที่ประชาชนควรคิดพิจารณาให้ดี ว่าถ้าของใหม่บ่ลอง ของงามบ่เห็น เป็นอย่างไร ในอดีตที่ผ่านมา ในการเลือกตั้ง ประชาชนก็อาจจะคิดว่า คนนี้นี่แหละเหมาะสมที่สุดที่จะเป็นพ่อเมือง แต่ครั้งนี้ ตนอยากจะเชิญชวนให้พี่น้องประชาชนชาวเชียงใหม่ ลองคิดใหม่ดูสักที ลองคิดว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ ไม่ใช่เป็นแค่การเลือกเพื่อตัวฉันเอง แต่เลือกเผื่ออนาคตของเด็กๆ ที่อยู่ตรงนี้ เพราะนี่คือจุดตัดระหว่างอดีตและอนาคต
นายพิธา ย้ำว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ ไม่ใช่เลือกเพราะตัวฉันอย่างเดียว ไม่ใช่เลือกแบบที่คุ้นเคยมา แล้วพอใจกัน แต่อยากบอกว่า สิ่งที่เคยเป็นคุโณปการในอดีตของเชียงใหม่ พาไปสู่ยุคสมัยใหม่ของเชียงใหม่ไม่ได้ คิดถึงลูกหลาน คิดถึงคนรุ่นต่อไป ว่าจะทำอย่างไร ต้องใช้นวัตกรรมแบบไหน ต้องใช้องค์ความรู้อย่างไร ที่จะทำให้เกษตรกร พ่อค้าแม่ขาย ลืมตาอ้าปากได้ ผู้สูงอายุมีชีวิตบั้นปลาย คนรุ่นใหม่สามารถใช้ชีวิตอยู่ในเมืองเชียงใหม่ได้อย่างเหมาะสม
นายพิธา กล่าวอีกว่า คิดกลับกัน ถ้าเรายังอยู่แบบเดิม เลือกคนเดิม ทีมเดิม นโยบายแบบเดิม มันก็อยู่แบบเดิมๆ แล้วมันจะเพียงพอหรือไม่ ที่จะพาเมืองที่เรารักขนาดนี้ ไปสู่ยุคสมัยความท้าทายใหม่ ที่อาจจะไม่มีใครเคยนึกถึงมาก่อน นี่คือเหตุผลว่า ถ้าท่านตัดสินใจแล้ว ว่า ตอนปี 66 ก็เลือกก้าวไกล เลือกตนมาก่อน คราวนี้ไม่เปลี่ยนใจ ขอเลือกเหมือนเดิม ตนก็ขอกราบขอบพระคุณทุกท่าน
แต่ในขณะเดียวกัน เราเห็นประชาชนเป็นเจ้านายของเรา เราไม่ได้เป็นเจ้านายของประชาชน ที่จะบอกว่า เมื่อกลับลงมาแล้ว ประชาชนเคยหลงผิดไป แล้วครั้งนี้ จะกลับมาอีกครั้งหนึ่ง ประชาชนตื่นแล้ว ตาสว่างแล้ว สามารถคิด วิเคราะห์ แยกแยะ ให้ตัวเองได้ อ่านนโยบายอย่างละเอียด และคิดพิจารณาไปสู่อนาคต ว่าคนไหนที่จะเหมาะสมเป็นพ่อเมือง
เพราะฉะนั้น ถ้าท่านยังไม่ตัดสินใจ หรือบอกว่ายังไม่เลือกเบอร์หนึ่ง ก็ไม่ว่ากัน เป็นสิทธิ์ เป็นอธิปไตย และเป็นสิ่งที่ถูกต้องสำหรับระบอบประชาธิปไตย เพราะคือการแข่งขันกันอย่างเข้มข้น ตรงไปตรงมา คำไหนคำนั้น ไม่ใช่ก่อนเลือกตั้งพูดอีกอย่าง หลังเลือกตั้งพูดอีกอย่าง ไม่ทำตามสัญญา และถ้ายังไม่ได้ตัดสินใจ ก็ไม่เป็นไร รอฟังการประชันวิสัยทัศน์ ฟังดีเบตดูก่อนได้
นายพิธา เน้นว่า การคว้าชัยชนะในครั้งนี้ได้ ไม่ใช่เรื่องของนายพันธุ์อาจ ไม่ใช่เรื่องของตน เพราะตนโดนตัดสิทธิ์ไปแล้ว แทบจะไม่ได้เกี่ยวข้องอะไร และไม่ใช่เรื่องของพรรคประชาชน แต่เป็นเรื่องขององคาพยพเชียงใหม่ทุกคน ถ้าท่านหวงแหนในสิทธิ์ความเป็นเชียงใหม่ อย่าลืมไปเลือกตั้งกันให้ถล่มทลาย พร้อมช่วยกันบอกว่า จะมีการเลือกตั้งครั้งต่อไป และถ้าท่านชื่นชอบพรรคประชาชน ก็บอกด้วยว่านโยบาย และประวัติผู้สมัครของเรา มีอะไรบ้าง
แล้วเมื่อถึงเวลา สมาชิกพรรคประชาชนต้องลุกขึ้นมาทั้งเชียงใหม่ ภาคเหนือ และประเทศไทยในพื้นที่ที่มีการแข่ง อบจ. ถึงเวลาที่ท่านจะต้องรวมพลังกันให้แคมเปญนี้เป็นแคมเปญของประชาชนด้วย ไม่ใช่แค่แคมเปญของคนใดคนหนึ่ง แต่ต้องช่วยกันประชาสัมพันธ์เหมือนอย่างที่ท่านเคยทำมาแล้ว ในปี 66 และ 400,000 กว่าคะแนนที่ท่านเคยให้พวกเรามา จะไม่สูญเปล่า จะไม่มีรอยต่อใดๆ ทั้ง สส. 7 คนที่อยู่ ณ ที่นี้ นายณัฐพงศ์ที่อยู่กรุงเทพฯ และทุกคน
นายพิธา เปิดเผยด้วยว่า ในสัปดาห์หน้า จะมีเขยเชียงใหม่ 2 คน มาลงพื้นที่ จังหวัดเชียงใหม่ คือ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า และนายชัยธวัช ตุลาธน อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล และเขยฝรั่งเศสอีกหนึ่งคน คือนายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า พร้อมด้วยหัวหน้าพรรคคนปัจจุบัน คือนายณัฐพงศ์
สำหรับตนในสัปดาห์หน้า เจอกันที่ภูเก็ตเด็ดทั้งเกาะ ตั้งแต่เหนือลงใต้ เพื่อให้คึกคักแบบนี้ และต้องขอไหว้วานประชาชนด้วยว่า แคมเปญนี้จะประสบผลสำเร็จได้ ก็เพราะองคาพยพของประชาชน อย่าปล่อยให้พรรคหาเสียงอยู่คนเดียว แต่ประชาชนทุกคน ถึงเวลาที่ท่านต้องลุกขึ้นแล้ว