อดีตผู้บริหารฝ่ายการเมืองทีมชัชชาติ โผล่ประชุมสภากทม. ข้าราชการวิจารณ์แซ่ด เข้านอกออกในศาลาเสาชิงช้าแบบเปิดเผย
เมื่อวันที่ 15 มกราคม ที่อาคารไอราวัตพัฒนา ศาลาว่าการ กทม. 2 ดินแดง รายงานข่าวแจ้งว่า ในการประชุมสภากรุงเทพมหานคร สมัยประชุมสามัญ สมัยแรก ครั้งที่ 2 ประจำปี 2568 ซึ่งมี นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯกทม. พร้อมด้วย น.ส.ทวิดา กมลเวชช นายศานนท์ หวังสร้างบุญ รองผู้ว่าฯกทม. คณะผู้บริหารฝ่ายการเมืองและข้าราชการประจำ เข้าร่วมประชุม
ปรากฏว่ามี อดีตผู้บริหารระดับสูงฝ่ายการเมือง ตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการผู้ว่าฯกทม. ที่เคยตกเป็นข่าวคุกคามทางเพศในพื้นที่สาธารณะอดีตทีมงานของนายชัชชาติ เมื่อช่วงเดือน ก.ค.67 มาร่วมการประชุมด้วย
ส่งผลให้ในหมู่ข้าราชการหลายคนวิพากษ์วิจารณ์กับสิ่งที่เกิดขึ้น เนื่องจาก ผู้ว่าฯกทม.ให้ผู้บริหารระดับสูงรายนั้นลาออกจากตำแหน่งไปแล้ว เพื่อความสบายใจทั้งสองฝ่าย แต่เจ้าตัวกลับเข้ามาทำงาน กอปรกับก่อนหน้านี้อดีตผู้บริหารระดับสูงฝ่ายการเมือง เข้าออกศาลาว่าการ กทม. 1 เสาชิงช้าบ่อยครั้งและมีการเข้าประชุมร่วมกับน.ส.ทวิดา ที่ห้องทำงานของรองผู้ว่าฯกทม. อย่างต่อเนื่อง
ขณะเดียวกัน น.ส.เอ (นามสมมุติ) อายุ 30 ปี ผู้เสียหายที่อ้างว่าถูกอดีตผู้บริหารคุกคามทางเพศ เผยว่า ทราบเรื่องมาตลอดว่า อดีตผู้บริหารระดับสูงคนดังกล่าว ยังคงมาทำงานแบบเปิดเผยตลอด จึงรู้สึกเหนื่อยใจ แต่ก็บริหารจัดการตัวเองอยู่เรื่อยๆ โดยเฉพาะการไปพบจิตแพทย์ทุกๆ 2 เดือนและยังต้องรับประทานยาทุกวันด้วย
สำหรับเรื่องดังกล่าว เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 7 ก.ค.67 น.ส.เอ อดีตทีมงานนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯกทม. เข้าร้องเรียนต่อสื่อมวลชนประจำศาลาว่าการ กทม. เพื่อขอความเป็นธรรม หลังถูกผู้บริหารระดับสูงฝ่ายการเมือง คุกคามทางเพศในพื้นที่สาธารณะ สร้างบาดแผลทางใจและส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิต
โดยผู้เสียหายเข้าร่วมงานกับทีมงานหาเสียงของนายชัชชาติ ตั้งแต่เดือน เม.ย.64 กระทั่งนายชัชชาติเข้ารับตำแหน่ง ยังคงทำงานร่วมกับทีมงานเช่นเดิม โดยทีมงานมีการนับถือรุ่นพี่รุ่นน้อง หลังเลิกทำงาน มีการออกไปรับประทานอาหารและดื่มกินสังสรรค์แลกเปลี่ยนความเห็นหรือปัญหาในการทำงาน เพื่อคลายความเครียดบ้างเป็นครั้งคราว ก่อนจะลาออกในเดือน มี.ค.66 แต่ระหว่างนั้นยังมีโครงการที่ยังไม่แล้วเสร็จ ต้องกลับมาประสานงานกับข้าราชการที่ศาลาว่าการ กทม.ด้วย
และวันเกิดเหตุ เดือน เม.ย.66 ได้พบปะกับทีมงานเช่นเดิม หลังเลิกงานช่วงเย็น มีการรับประทานอาหารและดื่มกินที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ระหว่างนั้นผู้เสียหายอ้างว่าถูกผู้บริหารระดับสูงฝ่ายการเมือง คุกคามทางเพศ โดยการโอบกอดจากด้านหลังให้ร่างกายแนบติดกันและไซร้บริเวณคอและหู ใช้กำลังโอบรัดไว้แม้ว่าผู้เสียหายจะพยายามผลักออก และนำเรื่องดังกล่าวไปแจ้งกับประธานที่ปรึกษาผู้ว่าฯและรองผู้ว่าฯกทม. 2 คนให้รับทราบ
ต่อมาในเดือน มิ.ย.66 ผู้บริหารระดับสูงที่ทราบเรื่องได้เรียกผู้เสียหาย ไปเจรจาไกล่เกลี่ยกับคู่กรณีซึ่งให้การรับสารภาพว่ากระทำการคุกคามทางเพศจริง โดยฝ่ายผู้บริหารให้ผู้เสียหายเสนอเงื่อนไข โดยขอให้คู่กรณีสารภาพผิดและขอโทษผ่านโซเชียล เวลาผ่านไปคู่กรณีไม่ดำเนินการอะไรตามที่ได้ตกลงกันไว้ ทำให้ผู้เสียหายร้องเรียนผ่านทราฟฟี่ฟองดูว์ ในเดือน ส.ค.66 เพื่อให้เรื่องเข้าระบบ ซึ่งจะได้เป็นไปตามระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร
ต่อมามีการตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง กระทั่งผู้บริหารระดับสูงแจ้งว่า คู่กรณีได้ลาออกจากตำแหน่งไปเรียบร้อยแล้ว หากยังติดใจอยู่ สามารถดำเนินการตามกฎหมายอื่นๆ ได้ ซึ่งผู้เสียหายต้องการให้มีใบบันทึกแนบท้ายสาเหตุที่ลาออกเพราะก่อเหตุคุกคามทางเพศ ส่วนสาเหตุที่ผู้เสียหายไม่ไปแจ้งความดำเนินคดี อ้างว่าเพราะเห็นคู่กรณีรู้จักกับตำรวจ จึงเกรงว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรม