ปลัดมท. ประชุมหน่วยงานความมั่นคงชายแดน ถก 4 ข้อเดินหน้าพัฒนาจุดผ่านแดน หนุนเสริมความร่วมมือไทย-กัมพูชาอย่างยั่งยืนในทุกมิติ
เมื่อวันที่ 15 มกราคม ที่กระทรวงมหาดไทย นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมเพื่อทบทวนการแก้ไขความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาว่าด้วยการข้ามแดนระหว่างประเทศทั้งสอง โดยมีนายไชยวัฒน์ จุนถิระพงศ์ อธิบดีกรมการปกครอง นายชยชัย แสงอินทร์ ผู้ตรวจกระทรวงมหาดไทย น.ส.อรอุมา วรแสน ผู้อำนวยการกองการต่างประเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วยผู้แทนหน่วยงานด้านกิจการความมั่นคงและชายแดนที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สนง.สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) สนง.สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กรมเอเชียตะวันออก กระทรวงการต่างประเทศ กรมกิจการชายแดนทหาร สนง.ตรวจคนเข้าเมือง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กรมศุลกากร กรมการจัดหางาน และกรมแผนที่ทหาร ร่วมประชุม
นายอรรษิษฐ์ กล่าวว่า สืบเนื่องมาจากการประชุมติดตามผลการเยือนกัมพูชาอย่างเป็นทางการของนายกฯ และการเยือนประเทศไทยของนายกรัฐมนตรีกัมพูชา เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 67 ซึ่งฝ่ายไทยและกัมพูชามีความเห็นร่วมกันให้แก้ไขความตกลงว่าด้วยการข้ามแดนระหว่างประเทศทั้งสอง โดยนายกฯ มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยเป็นเจ้าภาพ จึงได้จัดประชุมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการผ่านแดนระหว่างประเทศไทยและกัมพูชาในครั้งนี้ขึ้น โดยมีการพิจารณาเรื่องสำคัญ 4 ประเด็น ได้แก่ 1.การเพิ่ม “บัตรผ่านแดนชั่วคราว” (Temporary Border Pass) เป็นเอกสารผ่านแดนอีกประเภทหนึ่ง 2.การกำหนดพื้นที่ชายแดนช่องสายตะกู จ.บุรีรัมย์ 3.การกำหนดสถานีรถไฟด่านพรมแดนบ้านคลองลึก อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ให้เป็นด่านพรมแดนตามกฎหมายศุลกากร และ 4.การเพิ่มจุดผ่านแดนถาวรสะพานมิตรภาพไทย-กัมพูชา (หนองเอี่ยน-สตึงบท) ในความตกลงระหว่างรัฐบาลทั้งสองประเทศ
นายอรรษิษฐ์ กล่าวต่อว่า การประชุมวันนี้ได้หารือถึงการเพิ่มบัตรผ่านแดนชั่วคราว (Temporary Border Pass) เป็นเอกสารผ่านแดนอีกประเภทหนึ่งสำหรับประชาชนที่ไม่ได้อาศัยในพื้นที่ชายแดน โดยผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอำเภอชายแดนจะเป็นผู้มีอำนาจออกบัตร บัตรผ่านแดนชั่วคราวสามารถใช้เดินทางได้ครั้งละไม่เกิน 1 สัปดาห์ ซึ่งที่ประชุมได้มีการรับฟังความคิดเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยให้ความสำคัญเรื่องมาตรการด้านความมั่นคงที่เข้มงวด รวมถึงความพร้อมของระบบฐานข้อมูลทั้งสองฝ่าย ตลอดจนการบูรณาการร่วมมือระหว่างหน่วยงานด้านความมั่นคงในการรักษาความปลอดภัยของประชาชน
เช่นเดียวกันกับประเด็นการกำหนดพื้นที่ชายแดนช่องสายตะกู จ.บุรีรัมย์ ในการตีความพื้นที่ชายแดนของจังหวัดตามความตกลงระหว่างไทยและกัมพูชา ซึ่งที่ประชุมมีมติให้พื้นที่ชายแดนครอบคลุมทั้งจังหวัด โดยกระทรวงมหาดไทยจะได้แจ้งไปยังจังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อออกมาตรการตามความตกลงที่เหมาะสมต่อไป
นายอรรษิษฐ์ กล่าวอีกว่า ในส่วนของการกำหนดสถานีรถไฟบ้านคลองลึกเป็นด่านพรมแดนตามกฎหมายศุลกากร มีที่มาสืบเนื่องมาจาก จ.สระแก้วได้เสนอให้สถานีรถไฟด่านพรมแดนบ้านคลองลึกเป็นด่านพรมแดนตามกฎหมายศุลกากร เพื่อสนับสนุนการขนส่งทางราง ทั้งนี้ ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย ลงวันที่ 21 กันยายน 40 กำหนดให้เป็นจุดผ่านแดนถาวรที่ครอบคลุมทางรถไฟอยู่แล้ว โดยที่ประชุมเห็นชอบในการส่งเสริมด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ และจะได้มีหนังสือแจ้ง จ.สระแก้ว และกรมศุลกากร เพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
ในส่วนของการเพิ่มจุดผ่านแดนถาวรสะพานมิตรภาพไทย-กัมพูชา (หนองเอี่ยน-สตึงบท) ซึ่งเปิดทำการเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 67 แต่ยังไม่ได้รับการบรรจุในภาคผนวก เอ ของความตกลงระหว่างประเทศ โดยที่ประชุมได้เห็นชอบถึงการเพิ่มจุดผ่านแดนดังกล่าว เพื่อรองรับการเดินทางที่ส่งผลต่อความสะดวกในด้านการค้าระหว่างประเทศ และการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างไทยและกัมพูชา
นายอรรษิษฐ์ กล่าวว่า กระทรวงมหาดไทยให้ความสำคัญกับการอำนวยความสะดวกในการเดินทางผ่านแดน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญของประเทศ เพื่อขยายโอกาสให้ประชาชนสามารถเดินทางได้อย่างสะดวก ตลอดจนส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากและการค้าชุมชนผ่านการพัฒนาจุดผ่านแดน รวมถึงการรักษาความสงบเรียบร้อยและจัดระเบียบสังคม ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย ที่เน้นความร่วมมืออย่างยั่งยืนในทุกมิติ เพื่อประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติ