“ม.ล.กรกสิวัฒน์” ลั่น พปชร.จะทำให้ MOU44 เป็นโมฆะโดยเร็วที่สุด ซัด รบ.อย่าอ้าง พัฒนาปิโตรเลียมร่วมกัน ยัน ไทยเสียเปรียบกัมพูชา
เวลา 14.00 วันที่ 20 มกราคม ม.ล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี กรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงเรื่องผลกระทบจาก MOU 2544 ว่า การที่ไทยไม่เสียเอกราช เพียงชาติเดียวในอาเซียนต้องรำลึกพระมหากรุณาธิคุณของบูรพกษัตริย์ที่นำพาชาติรอดปลอดภัย และนำแผ่นดินสยามที่ฝรั่งเศสยึดไปคืนมาในปี 2450 คือ จังหวัดจันทบุรี ตราด และเกาะทั้งหลายจนถึงเกาะกูด โดยแลกกับดินแดนพระตะบอง เสียมราฐ ศรีโสภณ ด้วยเหตุผลอันสำคัญ คือ คนจันทบุรี และตราด เป็นชาวสยาม ทำให้ประเทศได้ทะเลผืนใหญ่กลับคืนมา ด้วยพระปรีชานี้เองทำให้ไทยครอบครองแหล่งพลังงานขนาดใหญ่ในปัจจุบัน
ม.ล.กรกสิวัฒน์ กล่าวต่อว่า ประเทศไทยได้ให้สัมปทานปิโตรเลียมกลางอ่าวไทยในปี 2514 แต่ปี 2515 กัมพูชาได้ขีดเส้นพรมแดนทางทะเลเข้ามาประชิดเกาะกูดและลากต่อมากลางอ่าวไทย ราวกับขัดขาไทยไม่ให้ขุดน้ำมันมาใช้ และกัมพูชาได้ประกาศให้สัมปทานปิโตรเลียมแก่บริษัทต่างชาติทับซ้อนบนพื้นที่สัมปทานไทย ทั้งที่ เส้นเขตแดนทางทะเลของกัมพูชานี้ขัดต่ออนุสัญญาเจนีวา 1958 ว่าด้วยทะเลอาณาเขต และอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล 1982
ม.ล.กรกสิวัฒน์ กล่าวว่า ต่อมาในปี 2516 ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงประกาศพระบรมราชโองการกำหนดเส้นเขตแดนทางทะเลตามอนุสัญญาเจนีวา 1958 ว่าด้วยทะเลอาณาเขต เพื่อให้นานาประเทศรับรู้ถึงเส้นเขตแดนของไทย และเป็นการปฏิเสธเส้นที่ขัดกฎหมายสากลของกัมพูชา
แต่ในปี 2544 รัฐบาลนายกฯ ทักษิณ กลับไปทำบันทึกข้อตกลง MOU 2544 รับรู้เส้นเขตแดนของกัมพูชา ปรากฎตามแผนที่แนบท้าย ทั้งที่ รัฐบาลก่อนหน้าทุกรัฐบาลจะไม่แสดงท่าทีรับรู้หรือแสดงเส้นเขตแดนกัมพูชาที่ขัดกฎหมายสากลของเลย
ม.ล.กรกสิวัฒน์ ระบุว่า การที่ไทยเปลี่ยนท่าทีจากเดิมแบบหน้ามือเป็นหลังมือ โดยไม่รักษาสิทธิอันพึงมีของไทยตามกฎหมายสากล ที่จะต้องให้คู่เจรจาปฏิบัติตามอนุสัญญาเจนีวา 1958 ทำให้ MOU 2544 มีไทยเพียงฝ่ายเดียวที่ปฏิบัติตามกฎหมายทะเลสากล และยังยอมรับเส้นที่กัมพูชาขีดทับพระราชอาณาเขตตามประกาศพระบรมราชโองการ ปี 2516 จนเกิดพื้นที่ทับซ้อนที่ใหญ่โตมากถึง 26,000 ตร.กม. ที่สำคัญ คือ MOU นี้ไม่เคยได้รับความเห็นชอบจากสภาจึงต้องเป็นโมฆะตั้งแต่ต้น
”ปัจจุบันรัฐบาลนายกฯ แพทองธาร ได้สานต่องานของอดีตนายกฯ ทักษิณ เดินหน้า MOU 2544 โดยประกาศว่า หากตกลงกันไม่ได้ จะได้ขุดน้ำมัน และก๊าซแบ่งกับกัมพูชาคนละครึ่ง จะทำให้ราคาพลังงานจะได้ถูกลง ซึ่งไม่เป็นความจริง เนื่องจากไทยได้ให้สัมปทานปิโตรเลียมแก่เอกชนไปแล้ว สิ่งที่ไทยจะได้รับมีเพียง ค่าภาคหลวงและภาษีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น“ ม.ล.กรกสิวัฒน์ กล่าว
ม.ล.กรกสิวัฒน์ กล่าวต่อว่า รัฐบาลอ้างการพัฒนาปิโตรเลียมร่วมกันเพื่อบดบังสาระสำคัญที่ไทยเปลี่ยนสถานะจากผู้ที่เป็นฝ่ายถูกเพราะยึดมั่นในกฎหมายสากล กลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบทันที เพราะเปิดโอกาสให้กัมพูชานำพื้นที่ที่ได้มาโดยไม่มีกฎหมายสากลรับรองเข้ามาเจรจาได้ เท่ากับว่า น่านน้ำภายในของจังหวัดตราด และทะเลอาณาเขตของเกาะกูด จะกลายมาเป็นตัวประกันในการเจรจา
ดังนั้น หากมีการขุดปิโตรเลียมและแบ่งผลประโยชน์กันเมื่อใด จะเป็นหลักฐานให้กัมพูชาสามารถนำขึ้นสู่ศาลโลกเพื่อแบ่งพื้นที่ทะเลที่เป็นของไทยตามกฎหมายสากลไปครึ่งหนึ่ง จึงเป็นความเสี่ยงอย่างยิ่ง ที่เราจะสูญเสียทั้งปิโตรเลียม เสียเขตแดน และมีความเสี่ยงด้านการเมืองภูมิภาค เพราะสัมปทานปิโตรเลียมที่ให้ไปในปี 2514 นั้นเกือบทั้งหมดเป็นของมหาอำนาจตะวันตก อาจเป็นเป้าหมายโจมตีทางการทหารได้หากเกิดสงครามระหว่างมหาอำนาจในอนาคต
“เพื่อป้องกันความเสียหายของชาติและประชาชน จึงเป็นหน้าที่ของพรรคพลังประชารัฐ ที่จะเดินเคียงข้างพี่น้องคนไทยในการคัดค้านการดำเนินการตาม MOU 2544 ของรัฐบาล และนำเรื่องเข้าสู่สภาเพื่อให้ MOU 2544 เป็นโมฆะโดยเร็วที่สุด”ม.ล.กรกสิวัฒน์ กล่าว