ขีดเส้น50วัน กม.กาสิโน
GH News January 22, 2025 09:07 AM

 “เลขาฯกฤษฎีกา” เผย ถกนัดแรกแล้ว พิจารณา “ร่างพ.ร.บ.กาสิโน” รัฐบาลขีดเส้น 50 วัน โยน ฝ่ายบริหารตัดสินใจ “ภูมิธรรม” ขอคนเห็นต่าง "เอ็นเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์"  อย่าค้านทำกระบวนการล่าช้า  “เพื่อไทย” โวยเล่นการเมืองไม่สร้างสรรค์ "อดีตเสื้อแดง" ปาของขึ้นเวที “ทักษิณ” ปราศรัย  ส่วน “สนธิญา” บุกกกต.ร้อง “ทักษิณ” หาเสียงชิงนายกอบจ.พาดพิงหมิ่นเหม่ผิดกฎหมายเลือกตั้ง

ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 21 ม.ค.68 นายภูมิธรรม  เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม  กล่าวถึง ไทม์ไลน์กฎหมาย เอ็นเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์ ว่าจะเสร็จสิ้นเมื่อใดนั้นว่า ไม่ทราบ เพราะจะต้องดูตามกระบวนการ เพราะขณะนี้ผ่านมติคณะรัฐมนตรีไปแล้ว  ซึ่งเป็นไปตามกระบวนการของกฎหมาย ส่วนจะมีปัญหาอะไรหรือไม่ เป็นเรื่องของอนาคตที่เราไม่ทราบ ซึ่งขณะนี้ผ่านมาตามกระบวนการก็ไม่มีปัญหาอะไร และเป็นเรื่องที่เราจะทำ man-made destination เป็นการเน้นการท่องเที่ยวและมีหลายอย่างที่ครบวงจร ซึ่งทุกประเทศที่มีศักยภาพก็ทำ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และนำเศรษฐกิจใต้ดินขึ้นมาบนดิน เพื่อให้เราควบคุมได้ง่ายขึ้น ดีกว่าปล่อยให้มีอบายมุขทั่วเมืองเต็มไปหมด จะกลายเป็นแหล่งที่ผู้มีอิทธิพลเข้าไปหาประโยชน์ ทำให้ผลประโยชน์ที่ได้ตกอยู่กับผู้มีอิทธิพลใต้ดิน รวมถึงปัญหาทางสังคมในหลายๆเรื่อง ซึ่งเรื่องเหล่านี้ถือเป็นเรื่องนิดเดียวเมื่อเทียบกับเอนเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์ ซึ่งจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวใหม่ ที่ถือว่าเป็นเรื่องหลัก แต่คนพูดถึงเรื่องนี้น้อย เมื่อเทียบกับกาสิโนที่มีเพียง 10% อย่างไรก็ตามแม้ว่าเราจะไม่ได้ปิดกั้นคนไทยแต่ก็หวังว่าชาวต่างชาติจะเข้ามา


ส่วนที่มีการเรียกร้อง จากพรรคประชาธิปัตย์ว่าให้มีการทำประชามตินั้น นายภูมิธรรม กล่าวว่า  สิ่งที่วิจารณ์เรารับฟังทั้งหมด แต่ไม่อยากให้เหมือนโครงการดิจิทัล Wallet ที่ใช้เวลาเนิ่นนาน นโยบายต่างๆถูกดึงให้ช้าลง เพราะทุกอย่างเป็นแพ็คเกจทั้งหมดในการกระตุ้นเศรษฐกิจ และเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา จึงอยากให้เป็นไปตามกระบวนการทางประชาธิปไตย และเมื่อจะลงมือทำ ก็มามีความเห็น ซึ่งความเห็นต่างมีได้ แต่อย่าทำให้กระบวนการต่างๆถูกดึงให้ช้าลง อยากให้กำลังใจกัน และช่วยกันทำงานดีกว่า  เพราะผลที่เกิดขึ้น ตรวจสอบได้อยู่แล้ว หากมีการคัดค้าน แล้วเรื่องนี้ตกไป รัฐบาลจะต้องถอนเรื่องนี้ออกไปและทำเรื่องใหม่ ขอให้เวลากับรัฐบาล เพราะแถลงต่อรัฐสภาไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งตามหลักประชาธิปไตย ไม่ว่าประเทศไหนก็ตามเมื่อมีการเสนอเข้ามา  ก็ถือว่าเหมือนได้ประชามติมาแล้ว เพราะเป็นการเสนอนโยบายต่อสาธารณะ ประชาชนทุกคนรับรู้ ในรัฐสภามีตัวแทนประชาชนจากทั่วประเทศให้การรับรองไปแล้ว จะต้องทำประชามติอะไรอีก และขึ้นอยู่กับการตีความ ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นการทำประชามติเหมือนกัน หากความต้องการไม่มีที่สิ้นสุด ประเทศจะเดินหน้ายาก

ด้าน นายปกรณ์ นิลประพันธ์  เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา เปิดเผยถึงความคืบหน้าการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การประกอบสถานบันเทิงครบวงจร หรือเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ภายหลังคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติรับหลักการว่า ก็ได้ดำเนินการแล้ว ทำให้เป็นไปตามนโยบายรัฐบาล ซึ่งมุ่งเป้าไปตามแนวทางรัฐบาล Man-made Destination เป็นหลักเท่านั้นเอง ถ้าไปอย่างอื่นลำบาก 

เมื่อถามว่า ต้องใช้ระยะเวลาในการรวบรวมความคิดเห็นนานหรือไม่ นายปกรณ์ กล่าวว่า รัฐบาลแจ้งมาว่าใช้เวลาได้ไม่เกิน 50 วัน เพราะเป็นเรื่องเร่งด่วน ก็จะพยายามรีบดำเนินการให้แล้วเสร็จ ซึ่งมีการประชุมไปนัดหนึ่งแล้ว ก็ไปได้พอสมควรในเรื่องเค้าโครง เราไม่ได้เน้นในเรื่องของกาสิโน หรือเรื่องอะไรอย่างที่พูดกัน เน้น Man-made Destination เป็นหลัก ส่วนการจะมีกาสิโนด้วยก็เป็นไปตามกฏหมายที่มีอยู่แล้ว

เมื่อถามย้ำว่า จำเป็นจะต้องมีการประชามติฟังเสียงจากประชาชนหรือไม่ นายปกรณ์ กล่าวว่า ก็แล้วแต่ฝ่ายบริหาร ถ้าเห็นว่าเป็นเรื่องที่สำคัญหรือมีผลกระทบเยอะๆ รัฐบาลอาจจะทำได้ 
เมื่อถามย้ำว่า ทางกฤษฎีกาเห็นควรว่าจะต้องดำเนินการทำประชามติหรือไม่ นายปกรณ์ กล่าวว่า ก็แล้วแต่ ซึ่งทางกฤษฎีกาไม่ใช่ฝ่ายนโยบายจึงตัดสินใจไม่ได้ 

ขณะที่ความเคลื่อนไหวทางการเมือง นายจิรพงษ์ ทรงวัชราภรณ์ รองโฆษกกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะผู้ช่วยหาเสียง นายพลพัฒน์ จรัสเสถียร ผู้สมัครนายก อบจ. มหาสารคาม เบอร์  4 พรรคเพื่อไทย เมื่อวันจันทร์ ที่ 20 ม.ค.ที่ผ่านมา พรรคเพื่อไทยได้จัดเวทีปราศรัยใหญ่ 3 จุด ในจังหวัดมหาสารคาม เพื่อนำเสนอนโยบายของนายพลพัฒน์  เพื่อแสดงวิสัยทัศน์ความมุ่งมั่นในการที่จะพัฒนาจังหวัดมหาสารคามภายใน 4 ปี เพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของชาวมหาสารคามด้วยชุดนโยบาย 4  เร่งด่วนทำทันที 1. เร่งซ่อมสร้าง ถนน-ไฟฟ้า เพื่อความปลอดภัย 2. น้ำการเกษตรไม่ขาดไม่เค็ม 3. รพ.สต.ทันสมัย ยกระดับสุขภาพประชาชน และ 4. ติวเตอร์กลางเพิ่มโอกาสให้ลูกหลาน และปัญหาใหญ่ที่ประชาชนชาวมหาสารคามเดือดร้อนมากที่สุด คือ ปัญหาการแพร่ระบาดของยาเสพติด ซึ่งนายพลพัฒน์ เสนอชุดความคิดการแก้ไขจากความร่วมมือระหว่างการเมืองระดับชาติกับการเมืองท้องถิ่นที่ใหญ่ที่สุดอย่าง อบจ. บรรยากาศการปราศรัยสองจุดแรก คือ บริเวณโดมเทศบาลตำบลเชียงยืน และจุดที่สองคือโรงฝึกกีฬาอเนกประสงค์สถาบันการพลศึกษา วิทยาเขตมหาสารคาม 

โดยมีผู้ช่วยหาเสียงซึ่งเป็นบุคคลสำคัญ ได้แก่ นายทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี คนที่ 23 นายณัฐวุฒิ  ใสเกื้อ นายสุทิน คลังแสง ส.ส.บัญชีรายชื่อและอดีต รมว.กระทรวงกลาโหม  น.ส.จิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ตลอดระยะเวลาการปราศรัยทั้งสองเวทีเป็นไปด้วยความราบรื่น ประชาชนชาวมหาสารคามให้การตอบรับเป็นอย่างดีจนล้นออกมานอกสถานที่จัดงานทั้งสองแห่งโดยเฉพาะที่โรงฝึกกีฬาอเนกประสงค์ สถาบันการพลศึกษา อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม มีประชาชนเข้าร่วมฟังการปราศรัยเต็มพื้นที่ในยิมเนเซียม และบริเวณโดยรอบผ่านการถ่ายทอดสดและตบมือชื่นชมเป็นระยะๆ ตลอดการปราศรัย

นายจิรพงษ์ กล่าวต่อว่า ช่วงเวลาเที่ยงครึ่ง ตนได้ขึ้นเวทีปราศรัยจุดที่ 3 ณ บริเวณศูนย์ประสานงานพรรคเพื่อไทย อำเภอพยัคฆภูมิพิสัย เป็นคนแรก โดยมีผู้ฟังมากกว่า 2 หมื่นคน ก่อนขึ้นเวทีปราศรัยทีมงานผู้จัดงานรายงานกับตนเองว่ามีผู้หญิงร่างท้วมมาเริ่มป่วนงานก่อนการปราศรัย ให้ตนคอยระวังเหตุโดยมีพฤติกรรมที่โวยวายหาเรื่องซึ่งสถานการณ์ก็ปกติดี ในการปราศรัยคนต่อมาคือ นายสุทิน คลังแสง ส.ส.บัญชีรายชื่อและอดีต รมว.กระทรวงกลาโหม นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี นายพลพัฒน์ จรัสเสถียร ผู้สมัครนายก อบจ. เบอร์ 4 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ

และต่อมาซูเปอร์ไฮไลท์ คือ นายทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีคนที่ 23 ระหว่างการปราศรัยของนายทักษิณ ผู้หญิงคนดังกล่าวได้แหวกมวลชนท่ามกลางทีมงานช่างภาพบริเวณหน้าเวทีปาสิ่งของมาบนเวทีทำให้ประชาชนผู้ฟังคำปราศรัยตกใจเงียบกันทั้งโดมแต่ด้วยการเป็นผู้นำของนายทักษิณ ได้พูดให้ประชาชนผู้ร่วมงานมีสติไม่แตกตื่น จนประชาชนผู้เข้าฟังช่วยกันโห่ไล่ผู้หญิงดังกล่าวเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยได้เชิญออกไปอย่างละมุนละม่อม ก่อนการจบการปราศรัย นายทักษิณยังกล่าวขอโทษผู้ร่วมรับฟังแทนหญิงก่อเหตุ นี่คือการแสดงในสถานะผู้นำของนายทักษิณอย่างแท้จริง ผู้สร้างตำนาน 30 บาทรักษาทุกโรค กองทุนหมู่บ้าน หมู่บ้านละ 1 ล้านบาท การปราบผู้ค้ายาเสพติดอย่างเด็ดขาด 

นายจิรพงษ์ กล่าวว่า ตนในฐานะผู้ช่วยหาเสียงของนายพลพัฒน์ เบอร์ 4   พรรคเพื่อไทยได้ตระเวนรณรงค์หาเสียงมาหลายตำบล หลายอำเภอในจังหวัดมหาสารคามเห็นว่าชาวมหาสารคามเป็นคนที่มีจิตใจดี  สุภาพเรียบร้อย และสนใจในการเมืองไปที่ไหนก็เอาผ้าขาวม้ามาผูกเอวให้ นี่คือภาพสะท้อนความผูกพันระหว่างนายพลพัฒน์ พรรคเพื่อไทยกับชาวมหาสารคาม ตนในฐานะคนการเมืองรุ่นใหม่อยากเห็นการเมืองที่สร้างสรรค์ ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างและสานต่อนโยบายที่เป็นประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน สามารถแก้ไขความเดือดร้อนให้กับประชาชนได้อย่างยั่งยืนต่อไป
ที่ศูนย์ราชการ แจ้งวัฒนะ นายสนธิญา สวัสดี อดีตที่ปรึกษากรรมาธิการการกฎหมายสภาผู้แทนราษฎร  เข้ายื่นหนังสือร้องเรียนต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อขอให้ตรวจสอบและวินิจฉัย เกี่ยวกับการเลือกสมาชิกและนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) 2 กรณี กรณีแรกเป็นการลาออกก่อนครบวาระของนายก อบจ.นครศรีธรรมราช และกรณีที่สองเป็นการปราศรัยหาเสียงของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้ช่วยหาเสียง มีการอ้างสถาบันพระมหากษัตริย์ และการสัญญาว่าจะให้เงิน 20 ล้านบาท ต่อ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี ที่ปรึกษาด้านนโยบายของนายกรัฐมนตรี  ใช้สำหรับการนำเด็กไทยไปเป็นนางแบบโลก

นายสนธิญา กล่าวว่า เรื่องแรกการลาออกก่อนครบวาระซึ่งเกิดขึ้นในหลายจังหวัด แต่ที่ตนมายื่นวันนี้เป็นกรณีที่เกิดขึ้นจังหวัดนครศรีธรรมราช นายก อบจ.ลาออก ทำให้มีการเลือกตั้ง 2 ครั้ง ใช้งบประมาณครั้งละประมาณ 70 ล้านบาท รวมเป็น 140 ล้านบาท ทำให้งบประมาณหมด ทำให้โครงการที่ อบจ.เคยสนับสนุนหน่วยงาน ไม่ว่าจะเป็น รพ.สมเด็จยุพราชฉวาง รพ.ร่อนพิบูลย์ หรืออื่นๆ ก็ไม่ได้รับงบประมาณ ตนจึงขอให้ กกต.โปรดพิจารณาวินิจฉัยว่าจะดำเนินการอย่างไรกับนายก อบจ.ที่ลาออกก่อนครบวาระ เนื่องจากทำให้เกิดปัญหา เกิดความเสียหายต่อหน่วยงานราชการ และการอำนวยความสะดวกแก่ประชาชน ซึ่งเรื่องนี้ตนได้ร้องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แล้ว

นายสนธิญา กล่าวต่อว่า เรื่องที่สองคือกรณีนายทักษิณ ไปปราศรัยหาเสียงในฐานะผู้ช่วยหาเสียงเลือกตั้งนายก อบจ.หลายจังหวัดทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งตนได้จับใจความการปราศรัยมาหลายครั้ง พบหลายประเด็น ประเด็นแรกนายทักษิณ มีการกล่าวถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ในการหาเสียงซึ่งไม่สามารถทำได้ โดยมีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ครั้งที่ 6/2543 เมื่อวันที่ 4 ม.ค. 2543 หยิบยกพระราชหัตถเลขาของรัชกาลที่ 7 มาประกอบการพิจารณาวินิจฉัยยุบพรรคการเมืองหนึ่ง โดยระบุว่า พระมหากษัตริย์ อยู่เหนือการเมือง นอกจากนี้ยังขัดกับระเบียบ กกต.ว่าด้วยวิธีการหาเสียงและลักษณะต้องห้ามในการหาเสียงเลือกตั้ง ข้อที่ 22 ห้ามนำสถาบันเข้าไปเกี่ยวข้องกับการเมืองทุกประเด็น

ประเด็นที่สอง กรณีนายทักษิณ พูดอย่างชัดเจนที่ อบจ.นครพนม เมื่อวันที่ 18 ม.ค. 2568 ว่าจะให้เงิน 20 ล้านบาท แก่ นพ.สุรพงษ์ เพื่อจะนำเด็กไทยไปเป็นนางแบบโลก ซึ่งตรงนี้ชัดเจนมาก เพราะ พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้งสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2562 มาตรา 65 (1) (2) ห้ามสัญญาว่าจะให้ หรืออะไรก็ตามที่คิดหรือคำนวณได้ว่าเป็นเงินไปหาเสียงเลือกตั้ง นี่เป็นประเด็นที่ชัดเจน ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้งสภาท้องถิ่นฯ

เมื่อถามว่า กรณีการปราศรัยของนายทักษิณวินิจฉัยแล้วจะนำไปสู่อะไร นายสนธิญา กล่าวว่า นายทักษิณ เป็นผู้ช่วยหาเสียงของนายกอบจ. ซึ่งนายก อบจ.สมัครในนามของพรรคเพื่อไทย เพราะฉะนั้นมันจะพันกันหมด เมื่อนายทักษิณเป็นผู้ช่วยหาเสียง สจ.ต้องรับผิดชอบ พรรคเพื่อไทยต้องรับผิดชอบ ซึ่งเป็นไปตามระเบียบ กกต. เมื่อการกระทำใดก็ตามขัดต่อระเบียบ กกต. ขัดต่อ พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้งท้องถิ่นฯ ก็ต้องดำเนินการตามกระบวนการ ซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะประเด็นสัญญาว่าจะให้ 20 ล้านบาทนั้นชัดเจน ฉะนั้นจึงไม่มีทางใดหลีกเลี่ยงไปได้เลย ทั้งนี้คำว่า ต้องรับผิดชอบก็ต้องเป็นไปตามที่ กกต.จะพิจารณาวินิจฉัย เช่น กรณีการสัญญาว่าจะให้อาจจะต้องดำเนินการไปถึงผู้สมัครรับเลือกตั้งนายก อบจ. และพรรคเพื่อไทย  

“ครั้งนี้ชัดเจนมาก หากยังไม่สามารถดำเนินการอะไรได้เลยก็ต้องฉีก 1.ระเบียบ กกต. 2. ฉีก พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้งสภาท้องถิ่นฯ ทิ้ง เพราะมันชัดเจนและไม่ต้องตีความอะไรแล้ว” นายสนธิญา กล่าวและว่า หรือถ้ายังไม่สำเร็จ อาจจะต้องยุบ กกต.ทิ้งด้วย  


เมื่อถามถึงกรณีนายก อบจ.ลาออกก่อนครบวาระ กกต.เคยชี้แจงว่าเป็นสิ่งที่ทำได้ไม่ขัดกฎหมาย ดังนั้นเพื่อแก้ปัญหา และป้องกันปัญหาในอนาคต จะเรียกร้องอย่างไร นายสนธิญา กล่าวว่า ตนเรียกร้องมาหลายครั้งว่า การที่นายก อบจ.ลาออกก่อนครบวาระนั้นเป็นช่องว่างที่ทำให้เกิดความเสียหาย ที่ผ่านมาเราไม่เห็นความเสียหาย แต่วันนี้ ที่นายก อบจ.นครศรีธรรมราชลาออกก่อนครบวาระแล้วเกิดความเสียหาย เพราะการเลือกตั้ง 2 ครั้ง ใช้งบฯ กว่า 140 ล้านบาท ทำให้งบประมาณที่มีการคุยกันไว้กับหน่วยงานต่างๆ ซึ่งหน่วยงานเหล่านั้นก็ได้ไปวางแผนการทำงานของตัวเองแล้ว แต่เมื่อเอาเงินนั้นมาเลือกตั้งหมด หน่วยงานรัฐที่ตั้งแผนงานไว้แล้วก็ไม่สามารถดำเนินการต่อได้ ทำให้ประชาชนไม่ได้รับการอำนวยความสะดวก กกต.จึงต้องแก้ปัญหาตรงนี้ด้วยว่า ครั้งหลังจะทำอย่างไร หรือกรณีของนายก อบจ.นครศรีธรรมราชที่ลาออกก่อนนั้น ขัดต่อคุณธรรม ผิดจริยธรรมหรือไม่ ต้องแก้กฎหมายหรืออะไรก็ตาม กกต.ต้องเห็น กับปัญหาปัจจุบันที่เกิดขึ้นแล้วใครจะรับผิดชอบ เลือกตั้ง 2 ครั้งเสียงบโดยใช่เหตุ

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายปกรณ์ นิลประพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนายพิชิต ไชยมงคล แกนนำเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศ (คปท.) ระบุ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี อาจมีสิทธิ์หลุดเก้าอี้กรณีแต่งตั้ง นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี ซึ่งถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง มาดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านโยบายของนายกรัฐมนตรี และเป็นประธานคณะกรรมการซอฟต์เพาเวอร์แห่งชาติ ว่า เรื่องนี้ตนไม่ทราบรายละเอียด และเรื่องการแต่งตั้ง นพ.สุรพงษ์ ไม่ได้มีการปรึกษาตน ส่วนจะเทียบเคียงกับกรณีนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ประธานคณะที่ปรึกษาของนายกฯ ที่เคยเป็นประธานคณะกรรมการกำกับการแก้ไขหนี้สินของประชาชนรายย่อย จนไม่สามารถดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้หรือไม่นั้น ต้องไปดูข้อเท็จจริงและวินิจฉัยในแต่ละเรื่อง ซึ่งแต่ละกรณีอยู่ที่ว่ามีการหารือมาอย่างไร พฤติกรรมรายบุคคล แต่ละคำตอบไม่เหมือนกัน ซึ่งอยู่ที่คำถาม

เมื่อถามว่า ความคืบหน้าเรื่องการสรรหาประธานคณะกรรมการ ธปท. ได้มีการส่งชื่อมาให้ตรวจสอบคุณสมบัติแล้วหรือไม่ นายปกรณ์ กล่าวว่า ไม่มี คงอยู่ที่กระทรวงการคลัง จริงๆ คณะกรรมการกฤษฎีกาไม่ได้มีหน้าที่ตรวจสอบ แต่เขาสอบถามมา

© Copyright @2025 LIDEA. All Rights Reserved.