คณะแพทย์จุฬาฯ เปิดผลกระทบโครงการประเมิน ให้วัคซีนป้องกันโรคตับอักเสบ บี
เมื่อวันที่ 23 มกราคม รศ.นพ.ฉันชาย สิทธิพันธุ์ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นประธานกล่าวเปิดงานแถลงข่าวเวทีคืนข้อมูลรับฟังความคิดเห็นของหน่วยงานผู้ใช้ประโยชน์จากงานวิจัยฯ โครงการประเมินผลกระทบการให้วัคซีนป้องกันโรคตับอักเสบ บี ในงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคแห่งชาติ หลังจากดำเนินการมา 30 ปี และความชุกของโรคตับอักเสบ เอ บี และซี ในประเทศไทย ซึ่งการศึกษาผลงานวิจัยนี้ได้ประสบผลความสำเร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ ร่วมกับสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) และบริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) มูลนิธิป้าทองคำ มูลนิธิเพื่อการศึกษาและประชาสงเคราะห์ มี นพ.ภาณุมาศญาณเวทย์สกุล อธิบดีกรมควบคุมโรค สธ. นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ผู้อำนวยการ สวรส. นายฤทธิ์ ธีระโกเมน ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเอ็มเคฯ ผศ.ดร.จรวยพร ศรีศศลักษณ์ รองผู้อำนวยการ สวรส. นพ.ศัลยเวทย์เลขะกุล มูลนิธิเพื่อการศึกษาและประชาสงเคราะห์ และ ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ เข้าร่วมงาน ที่ห้องประชุม 302 ชั้น 3 อาคารรัตนวิทยาพัฒน์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย
รศ.นพ.ฉันชายกล่าวอีกว่า ไวรัสตับอักเสบ เป็นปัญหาทางสาธารณสุขของประชากรโลกสำหรับไทย เป็นปัญหาที่สำคัญก่อให้เกิดโรคตับอักเสบเฉียบพลัน เรื้อรัง ตับแข็ง และมะเร็งตับ รวมทั้ง เป็นสาเหตุให้เพศชายพบมะเร็งตับสูงที่สุดในบรรดามะเร็งทั้งหมด ในอดีตที่ผ่านมา การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี พบในอัตราที่สูงร้อยละ 6-8 (ปี 1980) และไวรัสตับอักเสบ ซีร้อยละ 2 (ปี 1990) พบว่า สาเหตุการแพร่กระจายติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี ส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อจากมารดาสู่ทารก และการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ ซี เกิดจากการใช้ของมีคมร่วมกัน การถ่ายเลือดก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่ง ปัจจุบันไวรัสตับอักเสบ บี สามารถป้องกันการติดเชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการให้วัคซีนในทารกแรกเกิดประกอบกับระบบสาธารณสุข และความรู้เรื่องป้องกัน รวมทั้ง ตรวจกรองเลือดที่บริจาคทุกหน่วยองค์การอนามัยโลกมีนโยบายการขจัดไวรัสตับอักเสบให้เหลือน้อยที่สุดภายในปี 2030 และมีการประกาศให้ลดการถ่ายทอดไวรัสตับอักเสบ บี จากมารดาสู่ทารกให้เป็นศูนย์
“ไทยได้รับนโยบายดังกล่าว โดยมีข้อบ่งชี้ว่าการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี ในเด็กต่ำกว่า 5 ปี ต้องน้อยกว่า 0.1% รวมทั้ง การตรวจคัดกรองไวรัสตับอักเสบ ให้ได้อย่างน้อยร้อยละ 90 และป้องกันการติดเชื้อรายใหม่ให้ได้มากกว่าร้อยละ 90 ในผู้ที่ติดเชื้อจะต้องเข้าสู่กระบวนการรักษาให้ได้มากกว่าร้อยละ 80 และเมื่อถึงเวลาดังกล่าว
อัตราการตายจากโรคที่เกี่ยวข้องกับไวรัสตับอักเสบต้องลดลงให้ได้อย่างน้อย 65% จึงเป็นที่มา และเหตุผลในการศึกษาติดตาม การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบในไทย” รศ.นพ.ฉันชายกล่าว
รศ.นพ.ฉันชายกล่าวต่อว่า จากข้อมูลของศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสตับอักเสบ จุฬาฯ ได้ศึกษามาโดยตลอดทุก 10 ปี ตั้งแต่ปี 2004 2014 และการศึกษาในปี 2024 โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะให้ทราบถึงตัวเลขที่แท้จริงของไทยในการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ เอ บี และซี โครงการนี้จึงได้ทำการศึกษาโดยสุ่มจากประชากร 4 จังหวัดที่เป็นตัวแทนของแต่ละภาค คืออุตรดิตถ์ พระนครศรีอยุธยา บุรีรัมย์ และตรัง จังหวัดละ 1,500 คน โดยเลือกจากเขตอำเภอเมืองครึ่งหนึ่ง และอีกครึ่งหนึ่งเป็นอำเภอที่อยู่นอกออกไป รวมทั้ง ชนบท โดยกระจายกำหนดอายุ ตั้งแต่ 6 เดือน จนถึง 80 ปี ตามกลุ่มเป้าหมายที่ได้คำนวณไว้ตามสถิติ
รศ.นพ.ฉันชายกล่าวอีกว่า โดยมีฐานของการให้วัคซีนตั้งแต่ปี 1992 เป็นต้นมา โดยจะตรวจเลือด อัตราการติดเชื้อเป็นพาหะ และภูมิต้านทานไวรัสตับอักเสบ บี (HBsAg, anti-HBs และ anti-HBc) การติดเชื้อ ไวรัสตับอักเสบ ซี (anti-HCV และ HCV Ag) ไวรัสตับอักเสบ เอ (anti HAV IgG) วิเคราะห์อัตราการตรวจพบกระจายตามอายุต่างๆ และเปรียบเทียบกับอัตราส่วนของประชากรไทย เพื่อหาภาพรวมของการติดเชื้อในไทย ผลการศึกษา ไวรัสตับอักเสบ เอ พบว่า ประชากรส่วนใหญ่ ยังไม่มีภูมิต้านทาน หรือตรวจไม่พบ anti HAV IgG โดยอายุที่ตรวจพบภูมิต้านทานต่อไวรัสตับอักเสบ เอ (anti-HAV IgG) ร้อยละ 50 อยู่ที่อายุ 52 ปี หลังจากนั้นจะตรวจพบภูมิต้านทานต่อไวรัสตับอักเสบ เอ เป็นส่วนใหญ่โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ
“แสดงให้เห็นว่าในขณะนี้ไทยทางด้านระบาดวิทยาจัดอยู่ในประเทศระบาดต่ำมาก (very lowendemicity) ไวรัสตับอักเสบ บี ได้มีการฉีดวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ และอัตราการครอบคลุมสูงในทารกแรกเกิด ตั้งแต่ปี 1992 เป็นต้นมา ทำให้อุบัติการณ์การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี (HBsAg) ลดลงอย่างมากโดยเฉพาะในผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 30 ปี การติดเชื้อจะพบได้ในส่วนใหญ่ผู้ที่มีอายุเกิน 30 ปีขึ้นไป และเมื่อคำนวณภาพรวมของการติดเชื้อทั้งประเทศ อัตราการติดเชื้อจะอยู่ที่ 1.68% นับว่าการติดเชื้อลดลงอย่างมากเมื่อเปรียบเทียบกับในปี 2004 (4.0%) และ 2014 (3.48%) ข้อมูลการศึกษายังสนับสนุนด้วยการตรวจพบ anti-HBc ในกลุ่มประชากรที่อายุน้อย พบได้น้อยมาก และประชากรส่วนใหญ่มีภูมิต้านทาน anti-HBs ถึงแม้ว่าภูมิต้านทานจะลดลงตามกาลเวลา แต่ยังสามารถในการป้องกันการติดเชื้อได้” รศ.นพ.ฉันชายกล่าว
รศ.นพ.ฉันชายกล่าวว่า นอกจากนี้ ยังแสดงให้เห็นว่าไทยประสบผลสำเร็จในการลดการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี จากมารดาสู่ทารกให้เป็นศูนย์ ได้เป็นผลสำเร็จ เพราะการตรวจพบการติดเชื้อ HBsAg ในเด็กที่น้อยกว่า 5 ปี น้อยกว่า 0.1% ซึ่งใช้เป็นตัวเลขรายงานให้โครงการอนามัยโลกถึงผลสำเร็จดังกล่าว และนับจากนี้ไทยจะมีแนวโน้มการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ ดี ลดลงอย่างมาก เชื่อว่าผู้ป่วยมะเร็งตับที่เกิดจากไวรัสตับอักเสบ บี จะลดลงด้วยเช่นกันไวรัสตับอักเสบ ซี จากการศึกษาพบว่ามีการลดลงอย่างมาก ตั้งแต่ปี ค.ศ.2004 ประชากรไทยมีอัตราการตรวจพบไวรัสตับอักเสบ ซี (anti-HCV) ร้อยละ 2.15 และลดลงเหลือ 0.94% ในปี 2014 และในปี 2024 การตรวจพบ anti-HCV เหลือเพียง 0.56 หรือประมาณประชากร 363,475 คน แสดงให้เห็นว่าการลดลงของไวรัสตับอักเสบ ซี ได้ลดลงด้วยการพัฒนาด้านระบบสาธารณสุข และการให้ความรู้ป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ ซี โดยเฉพาะการใช้ของมีคมร่วมกันการตรวจกรองในผู้บริจาคโลหิต และในปัจจุบันผู้ที่ตรวจพบไวรัสตับอักเสบ ซี จะเข้าสู่กระบวนการรักษาซึ่งสามารถรักษาให้หายขาดได้ ทำให้มีความมั่นใจว่าไวรัสตับอักเสบ ซีจะเหลือน้อยที่สุด หรือใกล้หมดไปภายในปี 2030
“จากข้อมูลดังกล่าวทั้งหมด จะเป็นข้อมูลการอ้างอิงระดับชาติที่ สธ.นำไปใช้วางแผน และนโยบายในการขจัดไวรัสตับอักเสบ รวมทั้ง เป็นข้อมูลแสดงถึงความสำเร็จของไทย ให้นานาชาติ และองค์การอนามัยโลก เห็นการประสบความสำเร็จของประเทศไทยในการขจัดไวรัสตับอักเสบ ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา การศึกษาวิจัยนี้ยังสร้างบุคลากรให้มีความสามารถในการศึกษาวิจัยด้านระบาดวิทยาได้เป็นจำนวนมาก และยังได้เผยแพร่ในวารสารระดับนานาชาติ จำนวน 3 เรื่องทั้งไวรัสตับอักเสบ เอ บี และซี” รศ.นพ.ฉันชายกล่าว