แต่ละลีกจะมีค่าสัมประสิทธิ์ตามผลงานของทีมในยุโรป ค่าดังกล่าวมาจากผลการแข่งขัน ชนะได้ 2 แต้ม และเสมอได้ 1 แต้ม
คะแนนที่ได้จากจากลีกในประเทศเดียวกันจะถูกบวกและหารด้วยจำนวนสโมสรที่ลีกมีในยุโรป
เช่น หากพรีเมียร์ลีกมี 100 แต้ม ก็จะถูกหารโดยจำนวนทีมที่เล่นในยุโรป (7) และทำให้อังกฤษมีค่าสัมประสิทธิ์ 14.28
นอกจากนี้จะมีคะแนนโบนัสให้สโมสรที่เล่นในแชมเปี้ยนส์ลีก ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับลีกที่มีหลายทีมแข่งขัน เช่น เยอรมนี และอิตาลี
ประเทศที่จบ 2 อันดับแรกของตารางสัมประสิทธิ์จะได้รับโควต้าแชมเปี้ยนส์ลีกเพิ่มขึ้น
ปกติในพรีเมียร์ลีก ได้โควต้าเข้ารอบ 4 ทีม ดังนั้นตำแหน่งที่เพิ่มขึ้นมาจะตกเป็นของทีมอันดับ 5
ฤดูกาลที่แล้ว โบโลญญาและโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ซึ่งจบอันดับที่ 5 ในเซเรีย อา และบุนเดสลีกา เป็นทีมที่ได้ตั๋วดังกล่าวเข้ามา
และจนถึงวันที่ 26 ม.ค. อังกฤษ นำจ่าฝูงตารางสัมประสิทธิ์ ดังนี้ (Opta ระบุว่ามีโอกาส 98% ที่พรีเมียร์ลีกจะได้ตำแหน่งเพิ่มในแชมเปี้ยนส์ลีกฤดูกาลหน้า)
แล้วในกรณีที่แชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีกไม่อยู่ใน 5 อันดับแรก
มีโอกาสที่เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก ที่ทีมแชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ไม่ผ่านเข้ารอบตามโควต้าปกติ เช่นเดียวกับ เชลซี ในปี 2011-12
ครั้งนั้น เชลซี จบอันดับ 6 ในพรีเมียร์ลีก แต่ได้แชมป์ยุโรป ทำให้ ทอตแนม อันดับ 4 อดไปเล่น เนื่องจากจำกัดแค่ 4 สโมสรจากประเทศเดียว
อย่างไรก็ดีตอนนี้ ถ้าแมนเชสเตอร์ ซิตี คว้าแชมป์ยุโรปในฤดูกาลนี้แต่จบนอกเหนือ 5 อันดับแรก พวกเขาจะได้เข้ารอบร่วมกับทีมที่ผ่านเข้ารอบมาแบบปกติ
หมายความว่าตามทฤษฎีแล้ว พรีเมียร์ลีกอาจมีถึงทีม 7 ทีมในแชมเปียนส์ลีกฤดูกาลหน้า ได้แก่ 5 อันดับแรกในตาราง บวกกับแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก และแชมป์ยูฟ่า ยูโรปาลีก