ขึ้นชื่อว่าสงครามการสู้รบ ล้วนเป็นพิษภัยต่อมนุษยชาติด้วยกันทั้งสิ้น ไม่ว่าจะฝ่ายแพ้ หรือผู้ชนะ
หรือแม้กระทั่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับการสู้รบนั้นด้วย แต่ปรากฏว่า พื้นที่ที่เราพำนักอาศัยอยู่ ต้องกลายเป็นสมรภูมิสงครามแบบต้องจำยอม จำใจ กันก็ตาม
ยกตัวอย่าง “เลบานอน” ประเทศในภูมิภาคตะวันออกกลาง ซึ่งมีพรมแดนติดอิสราเอลและซีเรีย รวมถึงจอร์แดน ต้องกลายสภาพแบบจำใจ จำยอม เป็นสมรภูมิสู้รบระหว่างอิสราเอลกับฮิซบอลเลาะห์ ซึ่งเป็นกลุ่มติดอาวุธ และถูกยกเป็นกลุ่มก่อการร้ายอิสลามหัวรุนแรง นิกายชีอะห์ ที่อิหร่านให้การสนับสนุน ที่ใช้หลายพื้นที่ของประเทศเลบานอน เป็นพื้นที่เคลื่อนไหวของทางกลุ่มฯ โดยเฉพาะอย่าง ในภาคใต้ของเลบานอน
ทั้งนี้ เมื่อกล่าวถึงสงครามการสู้รบระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮิซบอลเลาะห์แล้ว เริ่มปะทุไฟศึกมาตั้งแต่ปี 1982 (พ.ศ. 2525) แต่หยุดพักระงับการหยุดยิงกันอยู่เป็นระยะๆ และสู้รบกันเป็นพักๆ
ส่วนการสู้รบครั้งปัจจุบัน เริ่มปะทุไฟสงครามขึ้นเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2023 (พ.ศ. 2566) หรือหลังเกิดสงครามฉนวนกาซา ระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาส เพียง 1 วัน คือ วันที่ 7 ตุลาคม 2023 เพราะกลุ่มฮิซบอลเลาะช่วยถล่มอิสราเอลซ้ำเติม ในฐานะที่ทางกลุ่มฯ เป็นพันธมิตรกับกลุ่มฮามาส
หลังจากนั้น การสู้รบโจมตีใส่กันกันมีขึ้นอยู่เนืองๆ อย่างต่อเนื่อง โดยพื้นที่ถล่มที่เกิดขึ้นเป็นส่วนใหญ่ก็อยู่ในภาคใต้ของเลบานอน สำหรับ เป้าหมายการโจมตีของกองทัพอิสราเอลต่อกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ และพื้นที่ตอนเหนือของอิสราเอล สำหรับเป้าถล่มของกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ต่ออิสราเอล
กระทั่ง ถึงช่วงเดือนกันยายน 2024 (พ.ศ. 2567) ปลายปีที่แล้ว ทางการอิสราเอล ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีสายเหยี่ยวอย่าง “นายเบนจามิน เนทันยาฮู” ได้เริ่มสั่งการให้ปฏิบัติการทางทหารอย่างเข้มข้นขึ้นต่อกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอน
เริ่มจากปฏิบัติการที่เรียกว่า การโจมตีด้วยเพจเจอร์บอมบ์ ซึ่งก็คือ “เพจเจอร์” อุปกรณ์สื่อสารโทรคมนาคมที่ใช้สำหรับส่งข้อความสั้นๆ โดยภายในมีวัตถุระเบิดซุกซ่อนอยู่ นอกจากนี้ วิทยุสื่อสารที่เรียกกันติดปากว่า “วอลกี-ทอล์กี” หลายเครื่อง ก็ถูกทำให้กลายเป็นระเบิดทำลายล้างสมาชิกกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ รวมแล้วนับพันครั้งที่เกิดเหตุ ในระหว่างวันที่ 17 – 18 กันยายน 2024 ส่งผลใหัมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 42 ราย และมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีกกว่า 1,500 ราย
ก่อนที่ในเวลาต่อมา ในวันที่ 1 ตุลาคม 2024 ทางกองทัพอิสราเอล ก็ได้ถล่มโจมตีทางทหารในหลายพื้นที่ของเลบานอน ตั้งแต่ตอนใต้ ตอนกลาง ลากลามไปถึงกรุงเบรุต เมืองหลวงของเลบานอน สำหรับการสู้รบที่ทางการอิสราเอล เรียกว่า สงครามเฟสใหม่ อันหมายถึงการทำสงครามกับฮิซบอลเลาะห์ ขณะที่ สงครามเฟสเดิมกับกลุ่มฮามาส ทางการอิสราเอล ก็ยังคงตะลุมบอนควบคู่ไปด้วย
โดยในสงครามเฟสใหม่นี้ ก็มีผลทำให้กลุ่มฮิซบอลเลาะห์ ต้องเกิดปรากฏการณ์ “ผลัดใบ” กันอย่างอลหม่านเลยทีเดียว เพราะกองทัพอิสราเอล ที่ใช้ทั้งปฏิบัติการโจมตีทางอากาศเป็นหลักใหญ่ และกองกำลังภาคพื้นดินเข้าเคลียร์พื้นที่ ได้ปลิดชีพทั้งบรรดาแกนนำ และผู้นำ ตลอดจนผู้ที่จะมาสืบทอดดำรงตำแหน่งผู้นำกลุ่มฮิซบอลเลาะห์จนด่าวดิ้นไปตามๆ กัน ไม่ว่าจะเป็น “นายฮัสซัน นัสรัลเลาะห์” ผู้นำกลุ่มฯ และ “นายฮาเชม ซาฟิดดีน” ผู้ที่จะมาสืบทอดดำรงตำแหน่งผู้นำคนใหม่ หลังจากนายฮัสซันสิ้นชีพไปแล้ว
ทั้งนี้ แม้ว่าทั้งสองฝ่ายได้ทำข้อตกลงหยุดยิงชั่วคราวตั้งแต่วันที่ 27 พฤศจิกายน 2024 ปลายปีที่ผ่านมา แต่ก็ปรากฏว่า ยังมีเหตุถล่มโจมตีระหว่างกันอยู่เป็นระยะๆ แม้จะไม่หนักหนาเฉกเช่นก่อนหน้า แต่ก็ปรากฏว่า ได้สร้างความสาหัสสากรรจ์แก่ประชาชนชาวเลบานอน แทบจะทั้งประเทศ ในหลายประการด้วยกัน เช่น การอพยพหนีภัยการสู้รบ และความอดอยาก จากอาหารที่ขาดแคลน อันสืบเนื่องจากการสู้รบที่มีขึ้น แม้ว่าประชาชนเหล่านั้น ไม่เกี่ยวข้องกับทั้งสองฝ่ายที่สู้รบกันก็ตาม ซึ่งมีรายงานว่า เกิดการสูญเสียของชีวิตผู้คนจากการสงครามในเลบานอนนี้มากกว่า 4,000 ราย และมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีกเกือบ 1.7 หมื่นราย ส่วนประชาชนชาวเลบานอนที่อพยพทิ้งบ้านเรือนเพื่อหนีภัยการสู้รบมีจำนวนราวๆ 8.42 แสนคนถึง 1.4 ล้านคนด้วยกัน
เมื่อสงครามการสู้รบ ทุเลาเบาบางลงจากผลของข้อตกลงหยุดยิง ประชาชนชาวเลบานอนจำนวนนับแสน ถึงเรือนล้านคน ก็ได้เดินทางกลับเข้ามายังมาตุภูมิของตน
ทว่า ประชาชนชาวเลบานอนเหล่านี้ ก็กำลังเผชิญหน้ากับความอดอยาก จากการขาดแคลนอาหาร จนถูกยกยกระดับให้เป็นปัญหาใหญ่ในเลบานอนปัญหาหนึ่ง ตามการเปิดเผยของ “องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ” หรือ “เอฟเอโอ” ที่ได้ประเมินร่วมกับ “กระทรวงเกษตรของเลบานอน”
โดย “เอฟเอโอ” และ “กระทรวงเกษตรของเลบานอน” ระบุว่า ผู้คนในเลบานอนจำนวนไม่น้อยกว่าร้อยะ 30 ของจำนวนประชากรทั้งหมดกว่า 5.36 ล้านคน กำลังผจญชะตากรรมกับความอดอยาก ไม่มีความมั่นคงทางอาหาร อันเป็นผลสืบเนื่องจากการสงคราม การสู้รบข้างต้น
พร้อมกันนี้ ทั้งสององค์กรหน่วยงานดังกล่าว เปิดเผยด้วยว่า จากการประเมินพบว่า ประชากรจำนวน 1.65 ล้านคน ไม่ว่าจะเป็นชาวเลบานอนเอง ชาวซีเรียอพยพหนีภัยสงครามกลางเมือง และชาวปาเลสไตน์ที่หนีภัยสงครามในฉนวนกาซา มาอาศัยในเลบานอน กำลังเผชิญกับวิกฤติขาดแคลนอาหาร ซึ่งตัวเลขดังกล่าว เพิ่มขึ้นจากช่วงก่อนสงครามเฟสใหม่ ที่เลบานอนก็ผจญชะตากรรมด้านความมั่นคงทางอาหารเป็นทุนเดิมแล้ว คือ 1.26 ล้านคน ที่สุ่มเสี่ยงกับความอดอยาก ขาดแคลนอาหาร
ในจำนวน 1.65 ล้านคนนั้น ปรากฏว่า มีมากถึงกว่า 2 แสนคน ที่ต้องได้รับความช่วยเหลือด้านอาหารอย่างเร่งด่วน หรือระดับฉุกเฉินเลยทีเดียว ซึ่งเป็นตัวเลขที่เพิ่มขึ้นสองเท่า เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเกิดสงครามเฟสใหม่ และในจำนวนผู้ที่กำลังผจญกับความอดอยากที่มีมากนับล้านคนดังกล่าว ปรากฏว่า เป็นผู้ที่อยู่ในวัยเด็ก มากถึง 3 ใน 4 หรือราวๆ ร้อยละ 75 ด้วยกัน ที่ได้รับอาหารในแต่ละวันไม่เพียงพอต่อความต้องการบริโภค แม้ว่าได้มีทางการบางประเทศ เช่น ฝรั่งเศส และหน่วยงาน องค์การต่างๆ เช่น ยูนิเซฟ เป็นต้น เข้าไปช่วยเหลือบรรเทาทุกข์ก็ตาม แต่ก็ยังไม่เพียงพอ
ทาง “ธนาคารโลก” หรือ “เวิลด์แบงก์” เปิดเผยถึงการประเมินว่า ต้องใช้เงินนับพันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เลยทีเดียวสำหรับการช่วยเหลือด้านนี้ จากจำนวนที่ต้องใช้ทั้งสิ้นไม่น้อยกว่า 5.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับการฟื้นฟูในหลายภาคส่วนของประเทศให้กลับมาดีขึ้น