กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) มีมุมมองต่อทิศทางค่าเงินบาทในสัปดาห์นี้ว่า เงินบาทสัปดาห์นี้มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 33.80-34.40 บาท/ดอลลาร์ เทียบกับสัปดาห์ที่ผ่านมา เงินบาทปิดอ่อนค่าที่ 33.67 บาท/ดอลลาร์ หลังซื้อขายในช่วง 33.58-33.97 บาท/ดอลลาร์ โดยระหว่างสัปดาห์เงินบาทแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบกว่า 2 เดือนครั้งใหม่
3 ก.พ. 2568 – โดยเงินดอลลาร์แข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินสำคัญส่วนใหญ่ยกเว้นเงินเยนในสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด)คงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 4.25-4.50% ตามคาด ส่วนเงินเยนได้แรงหนุนหลังรองผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่น(บีโอเจ)เน้นย้ำว่าดอกเบี้ยที่แท้จริงในญี่ปุ่นยังคงติดลบอย่างมีนัยสำคัญแม้ว่าจะขึ้นดอกเบี้ยไปแล้วเมื่อเดือนมกราคมก็ตาม ความเห็นดังกล่าวเพิ่มโอกาสที่บีโอเจอาจขึ้นดอกเบี้ยได้อีกอย่างน้อย 1 ครั้งในปีนี้ ทางด้านธนาคารกลางยุโรป(อีซีบี)ลดดอกเบี้ยลง 25bps ตามคาดและปูทางไปสู่การผ่อนคลายเพิ่มเติมในเดือนมีนาคมท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาในเขตยูโรโซน ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นและพันธบัตรไทย 2,836 ล้านบาท และ 1,930 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่ในเดือนมกราคมเงินบาทแข็งค่า 1.3% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า
สำหรับภาพรวมในสัปดาห์นี้ ขณะที่สงครามการค้ารอบใหม่ฉุดรั้งการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงและหนุนเงินดอลลาร์ หลังประธานาธิบดีทรัมป์ลงนามเก็บภาษีนำเข้า 25% สำหรับสินค้าจากเม็กซิโกและแคนาดา และ 10% สำหรับสินค้าจากจีน โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 4 กุมภาพันธ์ ซึ่งสร้างความกังวลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลก รวมทั้งอาจทำให้เงินเฟ้อสหรัฐฯสูงขึ้น นอกจากนี้ นักลงทุนจะติดตามดัชนีภาคบริการและการจ้างงานเดือนมกราคมของสหรัฐฯ อนึ่ง ในการประชุมรอบล่าสุดเฟดตัดข้อความที่เคยใช้ในแถลงการณ์ก่อนหน้านี้ที่ว่าตลาดแรงงาน “โดยทั่วไปลดความร้อนแรงลง” และเงินเฟ้อ “มีความคืบหน้าสู่เป้าหมาย 2%” โดยแทนที่ด้วยการประเมินว่าตลาดแรงงาน “แข็งแกร่ง” และเงินเฟ้อยังคง “ค่อนข้างสูง” อย่างไรก็ดี ประธานเฟดอธิบายว่าการปรับถ้อยคำดังกล่าวไม่ได้มีนัยในการส่งสัญญาณต่อการประเมินแนวโน้มเงินเฟ้อ โดยเฟดต้องการเห็นความคืบหน้าเกี่ยวกับเงินเฟ้อหรือการจ้างงานอ่อนแรงลงจึงจะพิจารณาปรับลดดอกเบี้ยอีกครั้ง
ส่วนปัจจัยในประเทศ คาดว่าเงินเฟ้อเดือนมกราคมขยับสูงขึ้นต่อเนื่อง ทางด้านผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ให้ความเห็นว่าเศรษฐกิจไทยปี 68 อาจขยายตัวต่ำกว่า 2.9% เนื่องจากในไตรมาส 4/67 เติบโตต่ำกว่าคาด ขณะที่ผลบวกจากมาตรการแจกเงินช่วยเหลือน้อยกว่าที่ธปท.ประเมินไว้