ธนาคารอังกฤษเผชิญโจทย์หิน กับภาวะ ‘Stagflation’ ซึ่งเอสแอนด์พีโกลบอลประเมินว่าภาคบริการถูกกระทบหนักสุด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า อังกฤษเผชิญภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวแต่กลับมีเงินเฟ้อสูงขึ้น หรือที่เรียกว่า ‘stagflation’ ซึ่งเป็นภาวะเศรษฐกิจที่น่ากังวลอย่างมาก เพราะธนาคารกลางจะต้องเลือกผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจที่แย่ลง ไม่ว่าจะดำเนินนโยบายการเงินแบบใดก็ตาม ซึ่งคาดกันว่าธนาคารอังกฤษจะมุ่งหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในวันที่ 6 กุมภาพันธ์นี้ 

บลูมเบิร์ก (Bloomberg) รายงานว่า จากเอสแอนด์พีโกลบอล (S&P Global) ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคบริการมีการขยายตัวต่ำสุดในรอบ 15 เดือน อยู่ที่ระดับ 50.8 ในเดือนมกราคม ขณะที่ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อโดยรวมอยู่ที่ 50.6 

ส่วนราคาค่าบริการสูงขึ้นมากสุดในรอบ 13 เดือน  โดยผู้ประกอบการมากกว่าหนึ่งในสามกล่าวว่ามีต้นทุนเพิ่มขึ้นจากการเติบโตของค่าจ้างที่สูงกว่า 5% ขณะที่ภาคธุรกิจต้องรับมือกับค่าจ้างและการจ่ายเงินสมทบประกันสังคมที่สูงขึ้น ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในเดือนเมษายนนี้

ทิม มัวร์ (Tim Moore) ผู้อำนวยการฝ่ายเศรษฐกิจของเอสแอนด์พี โกลบอล มาร์เก็ต อินเทลลิเจนซ์ (S&P Global Market Intelligence) กล่าวว่า ข้อมูลทางเศรษฐกิจในเดือนมกราคมแสดงให้เห็นภาวะ stagflation ที่เริ่มเด่นชัดขึ้น

แบบสำรวจของเอสแอนด์พีโกลบอลแสดงให้เห็นว่า อัตราดอกเบี้ยที่จะเพิ่มขึ้น ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ และความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจภายในประเทศที่ลดลงจากแผนงบประมาณฤดูใบไม้ร่วง ส่งผลกระทบเชิงลบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ

จากการสำรวจความเห็นครั้งล่าสุดพบว่า ความเชื่อมั่นภาคธุรกิจยังคงไม่ฟื้นตัว หลังจากที่ร่วงลงเพราะการประกาศแผนงบประมาณฤดูใบไม้ร่วง ที่จะขึ้นภาษีอีก 40,000 ล้านปอนด์

นอกจากนี้ เอสแอนด์พียังแสดงตัวเลขตำแหน่งงานใหม่ในภาคบริการที่ลดลงอีกด้วยในเดือนมกราคม ยุติการขยายตัวที่ยาวนานกว่า 14 เดือน ตำแหน่งงานลดลงมากสุดนับตั้งแต่วิกฤตทางการเงินครั้งเกิดโรคระบาดโควิด-19

ซึ่งมัวร์กล่าวว่า ภาคบริการต้อนรับ (Hospitality) ถูกลดตำแหน่งงานมากเป็นพิเศษ