แตะระดับ 1,200 จุดแวบ ๆ ก็เห็นมาแล้วตลาดหุ้นไทย อย่ากระนั้นเลยชวนมาดูโมเดลซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนกันดีกว่า
ล่าสุด ค่ายแสนสิริ คอนเฟิร์มเทรนด์การลงทุนบ้านเดี่ยวมาแรง เป็น Lifetime Asset Value สามารถสร้างผลตอบแทนในระยะยาว โดยมี 4 ทำเลเด่นแห่งยุคที่นักลงทุนให้ความสนใจมากที่สุดในปัจจุบัน “กรุงเทพกรีฑา-บางนา-ภูเก็ต-เชียงใหม่” (ดูกราฟิกประกอบ)
โดยฝ่ายข้อมูลและวิจัยตลาดอสังหาริมทรัพย์ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การลงทุนในบ้านเดี่ยวนับเป็นการลงทุนที่สร้างผลตอบแทนได้ในระยะยาว มีดีมานด์ความสนใจเช่าบ้านเพื่อการอยู่อาศัยของคนไทยและชาวต่างชาติเพิ่มมากขึ้น มีตัวชี้วัดจากอัตราเข้าเยี่ยมชมโครงการของแสนสิริ โดยมีวัตถุประสงค์ซื้อเพื่อการลงทุนอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงปีก่อนหน้าถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าต่างประเทศ นิยมเช่าโครงการใกล้โรงเรียนนานาชาติที่มีอัตราเข้าเยี่ยมชมโครงการแสนสิริสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ทั้งนี้ ดาต้าเบสของแสนสิริพบมี 4 ทำเลศักยภาพเหมาะแก่การลงทุนบ้านเดี่ยวลักเซอรี่ ดังนี้ 1.“กรุงเทพกรีฑา” หนึ่งในทำเลทองที่มาแรงที่สุดจากการมีถนนกรุงเทพกรีฑาตัดใหม่ ปัจจุบันการลงทุนในโครงการบ้านเดี่ยวของแสนสิริในทำเลนี้ สร้าง Yield-ผลตอบแทนเฉลี่ยปีละ 7-9% จากค่าเช่าบ้านเฉลี่ย 300,000-600,000 บาท/เดือน ขณะที่ราคาประเมินที่ดินมีมูลค่าสูงขึ้น 170% ภายใน 10 ปี ปัจจุบันมีมูลค่าซื้อขาย 170,000 บาท/ตารางวา
เหตุผลเพราะเป็นทำเลที่รายล้อมสิ่งอำนวยความสะดวก อยู่ใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ โรงเรียนนานาชาติชั้นนำ เช่น Brighton College และ Wellington College รวมทั้งมีคอมมิวนิตี้มอลล์เกิดใหม่อีกมากมาย การเดินทางง่ายเข้าสู่ย่านธุรกิจชั้นนำ หรือย่าน CBD ผ่านถนนกรุงเทพกรีฑาตัดใหม่ (ถนนศรีนครินทร์-ร่มเกล้า) ทำให้มีศักยภาพสูง ตอบโจทย์การใช้ชีวิตและการลงทุนได้ทุกมิติ
2.“บางนา” ทำเลแห่งอนาคตที่น่าจับตามอง มีความต้องการซื้อและเช่าอสังหาฯ มากขึ้นอย่างรวดเร็ว สะท้อนจากยอดขายโครงการใหม่ล่าสุด “เศรษฐสิริ บางนา กม.10” พรั่งพร้อมด้วยการลงทุนเมกะโปรเจ็กต์ภาครัฐและเอกชน ที่สำคัญการคมนาคมโดดเด่นอยู่ใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ สนามกอล์ฟและโรงเรียนนานาชาติชื่อดัง เช่น Bangkok Patana School และ Berkeley International School ศูนย์การค้าขนาดใหญ่ และโครงการใหม่ในอนาคตอย่าง Bangkok Mall ศูนย์การค้าที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เชื่อมต่อกับถนนสุขุมวิทเข้าสู่ CBD ได้สะดวก
3.“ภูเก็ต” เมืองแห่งโอกาสการลงทุน ทำเลเนื้อหอมที่สุดตลอดกาล จากการเป็นเดสติเนชั่นการท่องเที่ยวระดับโลก World Class Destination ที่ภาครัฐกำลังเร่งผลักดันอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นการยกระดับโครงสร้างคมนาคมพื้นฐานที่จะเป็นประตูต้อนรับนักท่องเที่ยว อย่างสนามบินภูเก็ต ระบบรถไฟฟ้ารางเบา การพัฒนาท่าเรือ และการพัฒนาผังเมือง เพื่อยกระดับภูเก็ตให้เป็น Smart City เต็มรูปแบบ รวมถึงการส่งเสริมการจัดกิจกรรมขนาดใหญ่ (Big Event) เพื่อผลักดันภูเก็ตสู่เป้าหมายเมือง Premium Destination ของโลก
ทั้งนี้ ย้อนกลับไปไม่นานมากเมื่อปี 2566 อสังหาฯ ในภูเก็ตขายดีมาก และยังขายดีต่อเนื่องจนถึงปีนี้ ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อเพราะ “ใกล้โรงเรียนนานาชาติ” โดยเฉพาะบางเทา ที่มีโรงเรียนนานาชาติหลายแห่ง เช่น เฮดสตาร์ท ขจรเกียรตินานาชาติ ฯลฯ ส่งผลให้ราคาที่ดินพุ่งสูงขึ้น จากเดิมยุคก่อนโควิดราคาไร่ละ 10-12 ล้านบาท อัพเดตล่าสุดขยับขึ้นถึงไร่ละ 25 ล้านบาท โดยโครงการบ้านเดี่ยวในภูเก็ตสร้างผลตอบแทน 9-10% ต่อปี ณ อัตราการปล่อยเช่าที่ 300,000-400,000 บาท/เดือน
และ 4.“เชียงใหม่” เมืองน่าอยู่ระดับนานาชาติ เมืองได้รับการขยายตัวและเติบโตสูงอย่างชัดเจน โดยเฉพาะบริเวณถนนวงแหวนรอบ 2 เริ่มขยายเข้าถนนวงแหวนรอบ 3 นับเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่มีกลุ่มแรงงานต่างชาติในไทย (Expat) เข้ามาอยู่อาศัยมากที่สุด มีผลตอบแทนการเช่าเฉลี่ย 5-7% ต่อปี ค่าเช่าบ้านเดี่ยวอยู่ที่ 50,000-70,000 บาท/เดือน ณ ราคาซื้อขาย 3.5-18 ล้านบาท สามารถสร้างผลตอบแทน Capital Gain เฉลี่ย 3-5% ต่อปี
ในอนาคตอันใกล้ เชียงใหม่มีแผนพัฒนาโครงการใหญ่ ๆ หลายโครงการ ส่งเสริมเการท่องเที่ยวและเพิ่มศักยภาพให้เชียงใหม่ดียิ่งขึ้นไปอีก เช่น สนามบินเชียงใหม่ 2 รองรับนักท่องเที่ยว 20 ล้านคน/ปี โครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ใช้เวลาเดินทาง 3 ชั่วโมง รวมทั้งเชียงใหม่เป็นจังหวัดที่มีโรงเรียนนานาชาติมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของประเทศ ขยายตัวและเติบโตอย่างรวดเร็ว ตามสัดส่วนของชาวต่างชาติที่เข้ามาอยู่อาศัยในเชียงใหม่ในลักษณะ Long Stay
เชียงใหม่จึงเป็นอีกหนึ่งทำเลที่เป็นที่ต้องการของนักลงทุน เพื่อเตรียมตัวรับความต้องการเช่าบ้าน หรือซื้อต่อไว้ล่วงหน้า