“ทีเส็บ” รับโจทย์ใหญ่ดันอุตสาหกรรมไมซ์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ตั้งเป้าปั๊มรายได้ประชาชาติถึง 3% ของ GDP ภายในปี 2570 เดินหน้า 5 ยุทธศาสตร์หลัก TCEB GO ปักหมุดไมซ์ไทยบนเวทีโลก พร้อมเร่งกระตุ้นการใช้จ่าย-เพิ่มวันพักนักท่องเที่ยวกลุ่มไมซ์ด้วยกลยุทธ์ 3S หนุนปี’68 มีจำนวนนักเดินทางไมซ์รวม 34 ล้านคน รายได้ 2 แสนล้านบาท
นายพสุ โลหารชุน ประธานกรรมการส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือทีเส็บ เปิดเผยว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับอุตสาหกรรมไมซ์อย่างมาก โดยมองว่าอุตสาหกรรมไมซ์จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ เนื่องจากประเทศไทยมีจุดแข็งในการเป็นจุดหมายปลายทางของการจัดงานอุตสาหกรรมไมซ์ หรือการจัดงานจึงเป็นสินทรัพย์ที่สามารถสร้างมูลค่าให้กับเศรษฐกิจไทยในระยะยาว
โดยรัฐบาลมีเป้าหมายให้ทีเส็บและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันขับเคลื่อนให้อุตสาหกรรมไมซ์ของไทยมีสัดส่วนรายได้ประชาชาติคิดเป็น 3% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ภายในปี 2570 จากสัดส่วน 1.6% ของ GDP ในปี 2567 ที่ผ่านมา
นายพสุกล่าวว่า ประเทศไทยมีความหลากหลายของสถานที่จัดงานในประเทศ ดังนั้น เพื่อช่วยขับเคลื่อนให้จุดแข็งของประเทศไทยและอุตสาหกรรมไมซ์ไทยมีอนาคตในระยะยาว ท่านรองนายกรัฐมนตรี (ประเสริฐ จันทรรวงทอง)ได้ให้ความสำคัญ 3 ประเด็นหลักที่ประเทศไทยจะต้องสร้างและพัฒนา
ประกอบด้วย 1.การลงทุนพัฒนาโครงสร้างและเทคโนโลยี สำหรับอุตสาหกรรมไมซ์ที่ครอบคลุมทั้งการพัฒนา Content ที่สะท้อนความคิดสร้างสรรค์ และสามารถใช้ขับเคลื่อน Soft Power ของประเทศ ทั้งสถานที่ทางธรรมชาติและสถานที่ที่มนุษย์สร้างขึ้น หรือ Man-Made Attraction
โดยประการสำคัญที่ตอกย้ำเป็นพิเศษ คือการพัฒนาแพลตฟอร์มหรือแอปพลิเคชั่นระดับชาติที่รวบรวมสาระสำคัญสำหรับการจัดงานไว้ในที่เดียว ตอบโจทย์ตลาดต่างประเทศภายในเวลารวดเร็ว เพราะปัจจุบันวิถีชีวิตและเศรษฐกิจในหลายมิติกำลังถูกขับเคลื่อนด้วยแอปพลิเคชั่นต่าง ๆ
2.ความรับผิดชอบและความยั่งยืนที่อุตสาหกรรมไมซ์ไทยต้องแสดงให้เห็นเชิงประจักษ์ว่าสามารถนำมาเป็นแนวปฏิบัติในการสร้างสรรค์การจัดงาน สามารถใช้เป็นจุดส่งเสริมขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย
และ 3.ความร่วมมือและการสร้างพันธมิตรในอุตสาหกรรมไมซ์ โดยมีรัฐบาลเป็นผู้สนับสนุน เพื่อผนึกกำลังระหว่างองค์กรที่มีการจัดงานให้มีการประสานงานจนได้ภาพใหญ่ของการจัดงานทั้งหมดในระดับประเทศ สามารถนำมาใช้เป็นฐานต่อยอดพัฒนาและขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไมซ์ไทยให้มีพลังทางเศรษฐกิจ และเป็นเครื่องมือสร้างแบรนด์และภาพลักษณ์ประเทศไทยในฐานะจุดหมายการจัดงาน
ด้านนายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือทีเส็บ กล่าวว่า ท่ามกลางสถานการณ์โลกปัจจุบัน นับเป็นความท้าทายอย่างมากสำหรับการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไมซ์ เนื่องจาก 1.การคาดการณ์การใช้จ่ายของกลุ่มเดินทางไมซ์ที่ลดลง 18% 2.งานไมซ์ที่เกิดขึ้น 70% ยังกระจุกตัวอยู่ในกรุงเทพฯ และ 3 ภาพรวมของประเทศไทยยังเป็นรองญี่ปุ่นและสิงคโปร์
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาทีเส็บได้มุ่งมั่นทำงานร่วมกับทุกภาคส่วน เพื่อยกระดับความสามารถของประเทศไทยในการรองรับความต้องการของนักเดินทางไมซ์ทั่วโลก เพื่อให้อุตสาหกรรมไมซ์เป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สร้างโอกาส และสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันที่เพิ่มขึ้น เพื่อปักหมุดประเทศไทยในเวทีโลก
โดยในปี 2567 ที่ผ่านมา ไมซ์ดึงดูดนักเดินทางทั้งในและต่างประเทศ 25,350,288 คน สร้างรายได้ 148,341 ล้านบาท เกิดเป็นรายได้ประชาชาติรวมมูลค่ากว่า 309,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 1.67% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ GDP ของประเทศไทย
นายจิรุตถ์กล่าวว่า ในด้านความสามารถของประเทศไทยบนเวทีโลกนั้น พบว่าจากการจัดอันดับของสมาคมการประชุมนานาชาติ หรือ ICCA ปี 2566 ที่ผ่านมา ประเทศไทยก้าวสู่ลำดับที่ 26 ของโลก อันดับที่ 6 ในเอเชีย-แปซิฟิก และอันดับที่ 2 ในอาเซียน โดยมีงานประชุมตามเกณฑ์ ICCA จำนวน 143 งาน อีกทั้งในด้านงานแสดงสินค้านานาชาติ จากรายงานของสมาคมการแสดงสินค้าโลก หรือ UFI ล่าสุดพบว่าประเทศไทยมีพื้นที่การจัดงานแสดงสินค้าเป็นอันดับ 1 ของอาเซียน และขยับขึ้นเป็นอันดับ 4 ของเอเชีย
นอกจากนี้ ทีเส็บยังพัฒนาดัชนีชี้วัดและการจัดอันดับการเป็นจุดหมายปลายทางไมซ์ที่นึกถึงเป็นอันดับแรกในภูมิภาคเอเชีย (Top of Mind MICE Destination Ranking in Asia) ซึ่งประเทศไทยได้รับการจัดอันดับ 1 เป็น Top of Mind ในหลายด้าน เช่น ด้าน Country Suitable for Hosting an Event, Authentic Local Experience และ Sustainable Event Management
รวมทั้งยังเป็นประเทศที่โดดเด่นและมีศักยภาพในการจัดงานไมซ์ของกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย ได้แก่ ด้าน Food Security, Health-Tech Innovation และ Creative Soft Power โดยมีเป้าหมายว่าในปี 2568 นี้ประเทศไทยจะมีนักเดินทางไมซ์รวมทั้งสิ้น 34 ล้านคน ทำรายได้ 2 แสนล้านบาท และก้าวสู่รายได้ประชาชาติรวมคิดเป็น 3% ของ GDP ของประเทศไทยตามเป้าหมายของรัฐบาล
นายจิรุตถ์กล่าวต่อไปอีกว่า เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งของอุตสาหกรรมไมซ์ไทยอย่างต่อเนื่อง ในปีงบประมาณ 2568 ทีเส็บจะดำเนินการผ่าน 5 ยุทธศาสตร์สำคัญ (TCEB GO) ประกอบด้วย 1.สนับสนุนงานไมซ์ในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายและดึงงานไมซ์ระดับโลก มุ่งเน้นตลาดศักยภาพใหม่ เช่น ตะวันออกกลาง และกลุ่ม BRICS รวมทั้งส่งเสริม Flagship Industry เพื่อให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการจัดงานไมซ์ระดับนานาชาติ
2.พัฒนาสถานที่จัดงานด้วยความหลากหลายของอัตลักษณ์เชิงพื้นที่ และจัดกิจกรรมการตลาดเสริมสร้างประสบการณ์แบบ Authentic Experience เพื่อเพิ่มโอกาสและกระตุ้นให้เกิดกิจกรรมไมซ์ครอบคลุมในทุกพื้นที่
3.พัฒนาอุตสาหกรรมไมซ์ด้วยนวัตกรรมและยกระดับขีดความสามารถด้วย Thailand MICE One Stop Service ผ่านการใช้ Data Driven Experience ลดขั้นตอน กฎระเบียบ และขยาย MICE Lane Service ไปยังพื้นที่ใหม่ ๆ เช่น สนามบินภูเก็ต เชียงใหม่ และอุดรธานี
4.พัฒนาระบบและกระบวนการทำงานด้วย Digital Transformation โดยใช้ Big Data และ Streamline Office Operations เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการให้คล่องตัว ทันสมัย และตอบโจทย์การทำงานในยุคดิจิทัล และ 5.ยกระดับองค์ความรู้และแนวปฏิบัติการจัดงานอย่างยั่งยืน โดยขับเคลื่อนตามแนวทาง ESG (Environmental, Social and Governance) รวมทั้งออกแบบสถานที่จัดงานให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
นอกจากนี้ ทีเส็บยังแก้โจทย์ในด้านการเพิ่มการใช้จ่ายและเพิ่มวันพักของนักท่องเที่ยวกลุ่มไมซ์ด้วยกลยุทธ์ 3S ได้แก่ Stay Longer กระตุ้นระยะเวลาพำนักของนักเดินทางไมซ์ในประเทศไทยให้นานขึ้น Spend More กระตุ้นการใช้จ่ายของนักเดินทางไมซ์ให้มากขึ้น และ See You Again กระตุ้นให้นักเดินทางไมซ์กลับมาประเทศไทยอีกครั้ง
โดยจะมีการดำเนินการหลากหลายด้าน ให้แต่ละกลยุทธ์บรรลุวัตถุประสงค์ อาทิ พัฒนา Pre & Post Tour การสร้าง Market Place ภายในงาน และที่จะดำเนินการควบคู่กันไป คือการเจาะตลาดเกิดใหม่ที่มีศักยภาพ อาทิ ตลาดกลุ่ม BRICS ที่ประเทศไทยเพิ่งเข้าร่วมเป็นหุ้นส่วน เพราะเป็นกลุ่มที่มีการจัดงานร่วม 200 งานในแต่ละปี