"ณัฐพงษ์" บุกดาดฟ้ารัฐสภาโชว์วิสัยทัศน์สู้ PM 2.5
GH News February 07, 2025 12:08 AM


"ณัฐพงษ์" บุกดาดฟ้ารัฐสภาโชว์วิสัยทัศน์สู้ PM 2.5  ชง 3 มาตรการจี้รัฐบาล กทม.แก้ปัญหาเป็นรูปธรรม  

เมื่อวันที่ 6 ก.พ. ส.ส.พรรคประชาชน นำโดยนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรค ประชาชน พร้อมด้วย ส.ส. และ ส.ก. ร่วมกันแถลงข่าว "วิกฤต PM 2.5 คือ วิกฤตภาวะผู้นำ" และข้อเสนอเชิงนโยบาย โดยได้ขึ้นไปแถลงที่บริเวณดาดฟ้าชั้น6 อาคารรัฐสภา

นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า วันนี้ตนในฐานะหัวหน้าพรรคประชาชนได้พาเพื่อนสส. และส.ก. ซึ่งเป็นตัวแทนของพ่อแม่พี่น้องประชาชนในพื้นที่ กทม. มาร่วมกันแก้ไขปัญหาและแนะนำข้อเสนอต่อผู้นำประเทศ เนื่องจากเห็นว่าสาเหตุที่ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้เป็นผลมาจากช่องว่างในการบริหารราชการแผ่นดินทั้งในระดับประเทศและในระดับท้องถิ่น จึงต้องหันมาแก้ปัญหาร่วมกันเพื่อพี่น้องประชาชน เพราะปัญหาเรื่องฝุ่นตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. จนถึงวันที่ 5 ก.พ. ที่ผ่านมา พบว่าเป็นช่วงเวลาที่พี่น้องชาวกทม.ต้องอยู่ภายใต้วันที่มีค่าฝุ่น PM 2.5 เกินค่ามาตรฐานประมาณ 30 กว่าวัน จึงถือเป็นปัญหาวิกฤตอย่างมาก เพราะประชาชนคนไทยไม่ได้เพิ่งรู้จักปัญหานี้ แต่รู้จักมาเป็นระยะเวลานานกว่า 10 ปีแล้ว

นายณัฐพงษ์ กล่าวต่อว่า ตนมองว่าการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลตลอด 2 ปีที่ผ่านมา รวมถึงปีที่ 3 ของผู้บริหาร กทม. ซึ่งเชื่อว่าถ้ามีการทำงานกันสอดประสานกันในผู้นำ 2 ระดับ เราจะดำเนินมาตรการต่างๆเพื่อแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 ได้ดีกว่านี้ เพราะหากเทียบในช่วงระยะเวลาเดียวกันตั้งแต่ปี 2567-2568 จะพบว่าปัญหาฝุ่นเพิ่มขึ้นถึงมากกว่าเดิมถึง 20% ขณะเดียวกันหากติดตามค่าฝุ่นจะรู้ว่ามีปริมาณเท่ากับการสูบบุหรี่ 1.7 มวนและที่ผ่านมาพรรคประชาชนจึงพยายามแก้ไขปัญหาต่างๆ เพื่อพ่อแม่พี่น้องประชาชนอย่างต่อเนื่องในทุกระดับ อาทิ การผลักดัน พ.ร.บ.อากาศสะอาด ที่ขณะนี้อยู่ในรัฐสภา รวมถึงมาตรการอื่นๆ และการตั้งกระทู้ถามตลอดจนผลักดันข้อบัญญัติรถเมล์ในอนาคตและข้อบัญญัติเพิ่มพื้นที่สีเขียว เป็นต้น

"ปัญหาฝุ่นไม่ได้กระทบกับประชาชนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่กระทบตั้งแต่เด็กในครรภ์จนถึงผู้สูงอายุและผู้ป่วยติดเตียงยังสร้างมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจนับเป็นมูลค่าราวๆ 2 ล้านล้านบาทต่อปี ดังนั้นผมคิดว่าเป็นเวลาที่รัฐบาลและผู้บริหารท้องถิ่น จำเป็นที่จะต้องดำเนินมาตรการร่วมกันอย่างจริงจัง อุดช่องว่างที่เกิดในการบริหารระหว่างกันและเดินหน้าแก้ไขเพื่อประชาชนโดยเร็วที่สุด"นายณัฐพงษ์ กล่าว

ขณะที่ น.ส.ภัทราภรณ์ เก่งรุ่งเรืองชัย ส.ก.เขตบางซื่อ พรรคประชาชน กล่าวว่า ที่ผู้ว่าฯกทม.อ้างว่าไม่มีอำนาจเต็มมือในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว แต่ตนพบว่ามี 3 เรื่องที่ผู้ว่าฯกทม. มีอำนาจเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่กลับใช้ไม่เต็มประสิทธิภาพ 1.มาตรการเขตลดฝุ่นLECที่ห้ามรถบรรทุกเกิน6ล้อที่ไม่ได้ลงทะเบียนกรีนลิสต์เข้ามาวิ่งในโซนกทม.ชั้นใน เป็นจำนวน2วัน ซึ่งผู้ว่าฯกทม.มีอำนาจเต็มตามมาตรา29 ของพ.ร.บ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยในการจัดการแต่เหตุใดถึงประกาศแค่โซนกทม.ชั้นใน ไม่ประกาศทั่วกทม.50เขตที่มีค่าฝุ่นเกินมาตรฐานเป็นสีแดง โดยผู้ว่าฯกทม.ได้แจ้งว่า ที่บังคับใช้มาตรการLECในกทม.ชั้นใน เพราะมีฝุ่นPM2.5 จากรถยนต์ และรถสาธารณะมากกว่าโซนอื่น แต่หากเราใช้มาตรการLECทั่วกทม. แล้วขยายเวลาจาก2วันเป็น1สัปดาห์ ตนคิดว่าจะสามารถลดฝุ่นได้จำนวนมาก 2.ไม่มีการประกาศมาตรการเวิร์คฟรอมโฮม ทั้งที่ กทม.ประกาศค่าฝุ่นเกินมาตรฐานอยู่ในระดับสีส้มมาตลอดสัปดาห์ ซึ่งเรื่องนี้ ผู้ว่าฯกทม.ก็มีอำนาจเต็ม ดำเนินการได้เลย ไม่ต้องรออะไร และ3.กรณีที่ผู้ว่าฯกทม.เสนอไปยังรัฐบาลให้ลดเกณฑ์ตรวจค่าทึบแสงควันดำรถยนต์ จาก30เปอร์เซ็นต์เหลือ10เปอร์เซ็นต์ โดยอ้างว่าไม่มีอำนาจ ไม่ทราบว่าได้ดำเนินการให้ลดเหลือ10เปอร์เซ็นต์หรือไม่ เนื่องจากยังพบว่ามีควันดำปล่อยออกมาจากรถอยู่

หัวหน้าพรรคประชาชน กล่าวอีกครั้งว่า ถ้าผู้นำทั้งสองระดับทั้งระดับประเทศ และระดับท้องถิ่นร่วมมือสอดประสานกันจะสามารถดำเนินมาตรการหลายๆอย่าง เพื่อแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 ให้เกิดประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น จึงขอแนะข้อเสนอเชิงนโยบาย 3 กลุ่ม ประกอบด้วย 1. กลุ่มที่ผู้บริหารทั้งสองระดับอาจจะดำเนินการทำแล้วแต่ยังทำไม่เพียงเพียงพอ 2. กลุ่มที่สื่อสารมาแล้วแต่ยังไม่ได้ลงมือทำอย่างจริงจัง และ 3.กลุ่มที่ยังไม่ได้เริ่มดำเนินการใดๆ ส่วนเรื่องนโยบาย Low emissions zone ในกทม.หลายพื้นที่ยังไม่ครอบคลุม ข้อเสนอคืออยากให้มีการผลักดันมาตรการดังกล่าวให้ครอบคลุมมากขึ้น และเรื่องอำนาจที่ยังไม่มากพอที่รัฐบาลส่วนกลางยังไม่มอบให้กับท้องถิ่น ดังที่ กทม. ระบุว่ายังไม่มีอำนาจในการตรวจ จับ ปรับรถควันดำ ซึ่งต้องอาศัยอำนาจตามพ.ร.บ.การขนส่งทางบก ที่รอการสอดประสานจากรัฐบาลส่วนกลาง

นายณัฐพงษ์ กล่าวต่อว่า เราเสนอผลักดันข้อบัญญัติรถเมล์อนาคต แต่น่าเสียดายที่ก่อนหน้านี้กฤษฎีกาตีความว่ากทม. ไม่มีอำนาจในการดำเนินการทำเอง แต่อย่าลืมว่ายังมีรัฐบาลระดับประเทศมีอำนาจเต็มในการที่จะออกกฎหมายลำดับรองหรือประกาศต่างๆ เพื่อกำหนดให้พื้นที่กทม.ต่อจากนี้อีกกี่ปีต้องใช้รถโดยสารพลังงานสะอาดส่วนเรื่องปรับโครงสร้างภาษีรถยนต์ที่ทำอย่างไรให้มีการปรับโครงสร้างภาษีให้สอดคล้องกับอายุของรถ เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนหันมาใช้พลังงานสะอาดมากยิ่งขึ้น และการประกาศเขตควบคุมมลพิษ ซึ่ง กทม. ยังขาดอำนาจในการจัดการมลพิษในกทม. คือการรอประกาศ กทม. เป็นเขตควบคุมมลพิษ ให้สามารถควบคุมมลพิษจากภาคขนส่ง โรงงานอุตสาหกรรม การเผาภาคการเกษตร ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเชื่อว่าหาก กทม.สามารถขจัดปัญหาฝุ่นได้ ก็จะสามารถเป็นโรลโมเดล หรือแบบอย่าง ให้กับพื้นที่อื่นๆต่อไป อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 13 ก.พ.นี้ คณะกรรมาธิการ (กมธ.) การที่ดิน สภาฯ จะมีการถกแนวการแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาชี้แจง

© Copyright @2025 LIDEA. All Rights Reserved.