นิเทศจุฬาฯ เปิดเวทีถก ‘พิรงรอง Effect’ มอง OTT ระเบิดเวลาที่ยังไร้การควบคุมจากกสทช.-รัฐ เตรียมทุบอุตสาหกรรมสื่อไทย ขาดหางเสือกำหนดทิศทางหากสิ้นสุดใบอนุญาตปี 72 ระบุการฟ้องร้องที่เกิดขึ้นทำเจ้าหน้าที่รัฐไม่กล้าปกป้องประชาชน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 7 ก.พ.68 คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดงานสัมมนาในหัวข้อ พิรงรอง Effect ทิศทางกำกับดูแลและคุ้มครองผู้บริโภคสื่อต่อจากนี้ …
นายปรีดา อัครจันทโชติ คณบดีคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวเปิดงานเสวนาว่า การฟ้องร้องดำเนินคดีในลักษณะนี้ ส่งผลกระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่ขององค์กรอิสระในฐานะที่พึ่งของประชาชนในการพิทักษ์สิทธิที่ประชาชนพึงมี เป็นอุปสรรคสำคัญต่อเสรีภาพในการแสดงออก ขัดขวางการวิพากษ์วิจารณ์ประเด็นสังคมโดยพยายามทำให้เกิดความกดดันและความกลัว
ดังนั้น คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จึงขอแสดงจุดยืนของคณะฯ สนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่ของนางสาวพิรงรอง ที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความสุจริต ยึดมั่นในหลักการ และปกป้องผลประโยชน์สูงสุดของสาธารณะต่อไป
ศาสตราจารย์พิเศษ ธงทอง จันทรางศุ เปิดเผยว่า ช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา สังคมไทยจับตามองคดีหนึ่งที่กลายเป็นประเด็นร้อนแรง สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทของกฎหมายในการจัดการข้อพิพาท และแนวทางในการแสวงหาความยุติธรรม ซึ่งหลักการสำคัญของกฎหมาย โดยอัญเชิญแนวพระราชดำริของในหลวงรัชกาลที่ 9 ซึ่งพระราชทานไว้เกี่ยวกับบทบาทของกฎหมายว่า กฎหมายเป็นเพียงเครื่องมือในการแสวงหาความยุติธรรม มิใช่ตัวความยุติธรรมโดยแท้
ศาสตราจารย์พิเศษ ธงทอง กล่าวว่า การบังคับใช้กฎหมายต้องคำนึงถึง เจตนารมณ์ บริบท และผลกระทบ ที่จะเกิดขึ้น ไม่ใช่แค่ตีความตัวบทตามอักษรเพียงอย่างเดียว หากยึดติดเพียงตัวหนังสือโดยไม่คำนึงถึงสาระสำคัญ อาจทำให้ความยุติธรรมหล่นหายไป
“หลายกรณีที่มีการนำคดีขึ้นสู่ศาล ไม่ได้มีเป้าหมายแค่แพ้หรือชนะ แต่ยังมีผลข้างเคียงอื่นๆ ที่แฝงอยู่ เช่น การแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตน หรือผลกระทบทางสังคม นักกฎหมายต้องระวังอย่าให้ตัวเองเป็นเพียงกลไกในการดำเนินคดีที่เบี่ยงเบนจากเส้นทางของความยุติธรรม ศาสตราจารย์พิเศษ ธงทอง กล่าว
ด้าน น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ อดีตกรรมการ กสทช.และ ผู้ร่วมก่อตั้ง Co-fact Thailand กล่าวว่า ประเด็นดังกล่าวนี้สร้างแรงกระเพื่อมในเชิงสิทธิและความเป็นส่วนตัว แต่ยังเปิดโปงปัญหาเชิงโครงสร้างของกระบวนการยุติธรรม กสทช. และอนาคตของอุตสาหกรรมสื่อและโทรคมนาคมไทย
คำพิพากษาที่เกิดขึ้นกระตุ้นให้สังคมตั้งคำถามถึงหลักนิติธรรม (Rule of Law) และมาตรฐานความยุติธรรมในระบบกฎหมายไทย นักกฎหมายหลายฝ่ายมองว่า คดีนี้ควรเป็นจุดเริ่มต้นของการถกเถียงเชิงโครงสร้าง เพื่อให้เกิดการปฏิรูปที่แท้จริง ไม่ใช่เพียงการปล่อยให้เป็นกระแสชั่วคราวแล้วจางหายไป
อีกหนึ่งประเด็นสำคัญ คือ บทบาทของ กสทช. ที่ถูกตั้งคำถามอย่างหนักเรื่องความโปร่งใสและประสิทธิภาพในการกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคมและสื่อ การที่สังคมตื่นตัวกับบทบาทขององค์กรนี้ถือเป็นเรื่องดี เพราะ กสทช. ถูกวิพากษ์วิจารณ์มานานเรื่องธรรมาภิบาลและการดำเนินงานที่ไม่ตอบโจทย์ยุคดิจิทัล กรณีนี้เป็นสัญญาณเตือนว่าถึงเวลาต้องมีการตรวจสอบและปรับปรุงบทบาทขององค์กรกำกับดูแลนี้อย่างจริงจัง
ขณะเดียวกัน อนาคตของอุตสาหกรรมสื่อและโทรคมนาคมไทยก็กำลังเผชิญจุดเปลี่ยนสำคัญ ธุรกิจโทรทัศน์แบบดั้งเดิมกำลังถูกแทนที่ด้วยแพลตฟอร์ม OTT และ Streaming Online แต่ยังไม่มีมาตรการกำกับดูแลที่ชัดเจน ขณะที่โครงสร้างโทรคมนาคมของประเทศต้องเร่งพัฒนาให้ทันต่อยุค 5G, 6G และ AI ซึ่งเป็นรากฐานของเศรษฐกิจดิจิทัล หากยังปล่อยให้เกิดความล่าช้าและการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม ประเทศไทยอาจเสียโอกาสครั้งใหญ่ในอุตสาหกรรมนี้
“แม้ว่ากระแสคดีของ กสทช.พิรงรอง จะถูกพูดถึงอย่างกว้างขวาง แต่เกมนี้ยังไม่จบ ความเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงต้องเกิดขึ้นจากการติดตามและกดดันให้มีการปฏิรูปอย่างเป็นรูปธรรม การต่อสู้ครั้งนี้เพิ่งเริ่มต้น และจะเป็นบทพิสูจน์สำคัญของความเป็นธรรมและอนาคตของสื่อสารมวลชนไทย” น.ส.สุภิญญา กล่าว
ทั้งนี้ รองศาสตราจารย์ ดร.ณรงค์เดช สรโฆษิต อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า กรณีดังกล่าว ไม่เพียงแต่เป็นคดีที่ผิดปกติจากแนวทางปกติที่ควรเป็นเรื่องของศาลปกครอง แต่ยังเปิดคำถามสำคัญเกี่ยวกับกลไกทางกฎหมายและการใช้อำนาจรัฐ
โดยปกติ หากเห็นว่าคำสั่งของเจ้าหน้าที่รัฐไม่ชอบด้วยกฎหมาย ประชาชนสามารถใช้กระบวนการทางกฎหมายได้หลายช่องทาง เช่น การอุทธรณ์ภายในหน่วยงาน การฟ้องศาลปกครองเพื่อเพิกถอนคำสั่ง หรือการเรียกค่าเสียหายจากรัฐ แต่ในกรณีนี้กลับถูกดำเนินคดีในศาลอาญา ซึ่งเป็นลักษณะที่ไม่พบได้บ่อย ทำให้เกิดข้อสงสัยเกี่ยวกับกระบวนการและวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของคดี
ข้อสังเกตสำคัญ คือ คดีนี้ฟ้องร้องตัว กสทช. ในขณะที่ผู้มีอำนาจเซ็นจดหมายหรือเป็นผู้สั่งการจริงๆ กลับไม่มีความชัดเจนว่าควรเป็นผู้รับผิดหรือไม่ สิ่งนี้ทำให้เกิดความแปลกประหลาดในทางกฎหมาย เพราะตามหลักความรับผิดทางอาญา ผู้ที่ออกคำสั่งและลงนามในเอกสารทางราชการควรเป็นผู้ที่รับผิดชอบโดยตรง แต่คดีนี้กลับมุ่งเป้าไปที่องค์กรกำกับดูแล ทำให้เกิดข้อกังขาว่าอาจเป็นแนวทางใหม่ในการข่มขู่เจ้าหน้าที่รัฐให้ไม่กล้าปฏิบัติหน้าที่
ผลกระทบของคดีนี้อาจส่งผลไกลกว่า กสทช. เพราะในอนาคตเจ้าหน้าที่รัฐอาจลังเลที่จะดำเนินงานด้านกำกับดูแลที่กระทบต่อกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ หากความเสี่ยงในการถูกฟ้องร้องมีมากขึ้น เช่น หน่วยงานที่ควบคุมมลพิษอาจหลีกเลี่ยงการเอาผิดโรงงานที่ปล่อยสารพิษ หรือเจ้าหน้าที่กำกับดูแลสื่ออาจไม่กล้าออกมาตรการควบคุมโฆษณาที่ละเมิดสิทธิผู้บริโภค
นอกจากนี้ นายระวี ตะวันธรงค์ ที่ปรึกษาสมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ กล่าวว่า ปัจจุบันธุรกิจ OTT (Over-the-Top) หรือแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง เช่น YouTube, Netflix และ Prime Video กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ขณะที่ กฎหมายไทยยังไม่มีมาตรการกำกับดูแลที่ชัดเจน ทำให้เกิดปัญหาเชิงโครงสร้าง ทั้งในแง่ของการแข่งขันทางธุรกิจและการควบคุมเนื้อหาภายในประเทศ
OTT แตกต่างจาก IPTV (Internet Protocol Television) ซึ่งเป็นบริการส่งสัญญาณภาพและเสียงผ่านอินเทอร์เน็ตที่มีกฎหมายรองรับ แต่ OTT นั้นพัฒนามาไกลเกินกว่าที่กฎหมายเดิมจะควบคุมได้ ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา กสทช. ได้ศึกษาแนวทางการกำกับดูแล OTT และจัดทำร่างข้อกำหนดขึ้นเรียบร้อยตั้งแต่ปี 2566 แต่จนถึงปัจจุบัน ร่างดังกล่าวยังไม่ถูกเสนอเข้าสู่ที่ประชุม กสทช. ทำให้ OTT สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้โดยไม่มีข้อบังคับใดๆ
ปัญหาสำคัญคือ OTT ไม่มีการจดทะเบียนในประเทศไทย ซึ่งหมายความว่าหน่วยงานรัฐไม่มีอำนาจกำกับดูแลโดยตรง ทั้งในเรื่องของเนื้อหาและโฆษณา แตกต่างจากประเทศอื่น เช่น อังกฤษ และออสเตรเลีย ที่มีกลไกปรับดูแลตามบริบททางวัฒนธรรมของประเทศตนเอง การปล่อยให้ OTT เติบโตแบบไร้การกำกับดูแลนี้ ส่งผลให้เกิดผลกระทบต่อธุรกิจทีวีดิจิทัลอย่างหนัก
หนึ่งในผลกระทบสำคัญ คือ ทีวีดิจิทัลที่กำลังรอการต่อสัญญาในปี 2572 ซึ่งต้องมีการตัดสินใจเกี่ยวกับการประมูลใหม่ในปี 2570 อย่างไรก็ตาม เจ้าของช่องโทรทัศน์ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะมีแนวทางดำเนินธุรกิจต่อไปอย่างไร เนื่องจาก OTT ดึงเม็ดเงินโฆษณาออกจากโทรทัศน์แบบดั้งเดิมอย่างต่อเนื่อง
ค่าโฆษณาบน OTT มีราคาถูกกว่า ทำให้ธุรกิจต่างๆ หันไปลงโฆษณากับแพลตฟอร์มออนไลน์มากขึ้น ผลที่ตามมาคือ รายได้ของทีวีดิจิทัลลดลงอย่างต่อเนื่อง อาจถึงขั้นไม่มีเงินจ่ายเงินเดือนพนักงาน และหากไม่มีมาตรการรองรับ อุตสาหกรรมสื่อดั้งเดิมของไทยอาจถึงจุดล่มสลาย
“กสทช. จะเริ่มกำกับดูแล OTT กี่โมง และแนวทางที่ชัดเจนจะเกิดขึ้นเมื่อไร เพราะหากยังคงปล่อยให้ธุรกิจ OTT เติบโตโดยไม่มีมาตรการควบคุม ขณะที่ทีวีดิจิทัลยังติดอยู่กับกรอบกฎหมายเดิม ผลกระทบทางเศรษฐกิจและสื่อสารมวลชนไทยอาจรุนแรงกว่าที่คาดการณ์” นายระวี กล่าว