เปิดตัวกันไปแล้วกับซีอีโอคนใหม่ ‘ม.ล.ปีกทอง ทองใหญ่’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท. น้ำมันและค้าปลีก จำกัด (มหาชน)
พร้อมประกาศวิสัยทัศน์มุ่งเสริมความแข็งแกร่งองค์กร เพื่อผลักดันประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางพลังงานแห่งภูมิภาค (Oil Hub) โดยปี 2568 โออาร์เตรียมเงินลงทุน 19,000 ล้านบาท จากแผนลงทุน 5 ปี 60,000 ล้านบาท
ด้วยการใช้ดิจิทัลและนวัตกรรมเป็นตัวขับเคลื่อนการลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ครบวงจร ภายใต้แนวคิด “They grow We grow” ทั้งการเชื่อมโยงเครือข่ายด้านน้ำมันระหว่างประเทศ และการสร้างธุรกิจใหม่ๆ เพื่อยกระดับระบบนิเวศทางธุรกิจให้แข็งแกร่ง
“ผมจะเน้นใช้ดิจิทัลขับเคลื่อนการลงทุน ซึ่งแผนดังกล่าวจะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 1 ของปีนี้ เพื่อสร้างโอกาสให้โออาร์แสวงหารายได้แหล่งใหม่ๆ แต่การลงทุนดิจิทัลต้องใช้ความระมัดระวัง เพราะเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงเร็ว ผมจะไม่ทุ่มแบบวิ่งตามเทคโนโลยี แต่จะเลือกลงทุนในสิ่งที่เหมาะสม”
ที่ผ่านมาโออาร์ ถือเป็นบริษัทแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่นำระบบ SAP S/4 HANA มาใช้ในอุตสาหกรรมน้ำมันและค้าปลีก พร้อมพัฒนา Control Tower Dashboard เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการและตัดสินใจทางธุรกิจ
สอดคล้องกับการสานต่อวิสัยทัศน์ “Empowering All toward Inclusive Growth : เติมเต็มโอกาส เพื่อทุกการเติบโตร่วมกันอย่างมั่นคงและยั่งยืน” ผ่าน 3 พันธกิจ ได้แก่
Seamless Mobility มุ่งเสริมความเป็นผู้นำในธุรกิจน้ำมัน ผ่านการขยายเครือข่ายสถานีบริการ และเพิ่มประสิทธิภาพโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง ควบคู่กับการพัฒนาสู่พลังงานทางเลือก เช่น สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า EV Staion Pluz และการติดตั้งพลังงานแสงอาทิตย์ โดยใช้กลยุทธ์ Thailand Mobility Partner ในการเปลี่ยนผ่านจากธุรกิจน้ำมัน สู่ธุรกิจพลังงานแบบผสมผสาน
All Lifestyles มุ่งเสริมความแข็งแกร่งของร้านคาเฟ่ อเมซอนตลอดห่วงโซ่อุปทาน พร้อมแสวงหาโอกาสการลงทุนร่วมกับพันธมิตรในธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม รวมถึงเริ่มศึกษาธุรกิจสุขภาพและความงามที่มีโอกาสเติบโตสูง ซึ่งถือเป็นกลยุทธ์กระจายพอร์ตการลงทุน
Global Market ที่ให้ความสำคัญกับการลงทุนในประเทศที่มีศักยภาพสูง โดยมีแผนลงทุนเพื่อสร้างความเข้มแข็งในโครงสร้างพื้นฐานในต่างประเทศ
โดยปี 2568 นี้จะเน้นการลงทุน 4 เสาหลัก แบ่งเป็น ธุรกิจโมบิลิตี้ เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า (อีวี) สถานีชาร์จ 7,600 ล้านบาท ธุรกิจไลฟ์สไตล์ (ธุรกิจที่ไม่ใช่น้ำมัน) 7,300 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ และธุรกิจต่างประเทศ ที่ยังเน้นการลงทุนในประเทศกัมพูชา เป็นบ้านหลังที่สอง โดยปีนี้ตั้งเป้ารายได้รวมเติบโต 2-3% ตามอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจ (จีดีพี) แต่ที่ผ่านมาโออาร์ก็สามารถโตได้ประมาณ 3-4%
คาดว่ากำไรก่อนหักภาษี ดอกเบี้ย ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) จะเติบโต 10-15% หลังจากปี 2567 บริษัทมีการบันทึกด้อยค่าในธุรกิจที่ไม่ได้มีการเติบโตตามแผนไปมากแล้ว ซึ่งปีนี้คาดว่าน่าจะไม่มีการตั้งด้อยค่าอีก อย่างไรก็ตามขึ้นอยู่กับสถานการณ์ หากการลงทุนในธุรกิจไม่เป็นไปตามคาดหวังก็จะพิจารณาปรับพอร์ตฟอลิโอของบริษัท
“การเข้ารับตำแหน่งครั้งนี้ ต้องการเห็นโออาร์มีความแข็งแกร่งมากขึ้น สามารถแข่งขันในธุรกิจน้ำมันได้มากขึ้น โดยตั้งเป้าหมายเพิ่มส่วนแบ่งตลาดให้กลับมาสู่ระดับสูงสุดที่เคยทำไว้ 38-40% ซึ่งต้องปรับกลยุทธ์และพัฒนาธุรกิจนอนออยด์ ใช้จุดแข็งของแบรนด์ที่ใครไม่สามารถก๊อบปี้ได้ โดยยังคงตำแหน่งเป็นอันดับหนึ่งของตลาด ตราบเท่าที่ดำรงตำแหน่งอยู่ในวาระ 2 ปี จากปัจจุบันส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ 35-36%”
ม.ล.ปีกทอง คาดว่าปีนี้จะลงทุนใกล้เคียงกับปี 2567 มูลค่า 1,000 ล้านบาท จำนวน 1,000 แห่ง ตามนโยบายรัฐบาลที่ตั้งเป้าหมายมีหัวชาร์จ 7,000 หัวทั่วประเทศ ภายใน 5 ปี ลดลงจากเป้าเดิม 12,000 หัว เนื่องจากอัตรากำลังการผลิตรถยนต์อีวีลดลง ทางโออาร์จึงตั้งเป้าหมายมีหัวชาร์จ 5,000 หัวภายในปี 2573 คาดว่าจะคุ้มทุนภายใน 7 ปีตามแผนที่วางไว้
“ปี 2568 นับเป็นปีแห่งการเปลี่ยนผ่านพีทีทีสเตชั่น ไปสู่โออาร์สเปรซ ซึ่งการลงทุนในกลุ่ม ปตท. แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ สถานีชาร์จ และส่วนประกอบรถยนต์ไฟฟ้า แต่ปริมาณอีวีลดลง เราโฟกัสการลงทุนสถานีชาร์จ เพราะไม่ช้าก็เร็วรถอีวีต้องมา เนื่องจากการใช้รถอีวีจะเป็นวิธีลดการปล่อยคาร์บอน เพียงแต่ตอนนี้ดูจะช้าไปหน่อย”
ในส่วนของแนวทางการปรับลดราคาน้ำมันตามนโยบายของรัฐบาลนั้น ส่วนตัวไม่เชื่อว่าการลดราคาน้ำมันเป็นสิ่งที่ดี เพราะไทยผลิตน้ำมันได้เองแค่ 15% ของความต้องการในประเทศ แต่สิ่งสำคัญคือ คนไทยควรจะตระหนักว่าทุกบาททุกสตางค์ออกนอกประเทศ
ดังนั้น ราคาควรเป็นไปตามกลไกตลาด คนไทยต้องประหยัด ใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า การลดราคาทำให้คนไทยจ่ายน้อยลงก็จริง แต่การประหยัดทำให้คนไทยตระหนักรู้ถึงคุณค่าการใช้ทรัพยากร ประเทศก็ประหยัด ทำให้ไทยเสียดุลการค้าน้อยลง
อย่างไรก็ตาม การกลับมารับตำแหน่งประธานาธิบดีของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ให้ความสำคัญในการใช้พลังงานฟอสซิล เชื่อว่าจะทำให้ราคาน้ำมันปรับลดลง จากการเพิ่มกำลังการผลิตพลังงานฟอสซิลมากขึ้น
สำหรับการลงทุนในประเทศเมียนมา จะหยุดไว้ก่อน ส่วนที่ลงทุนไปแล้วก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้ขยายการลงทุนเพิ่มเติมแต่อย่างใด ซึ่งส่วนตัวมองว่าคนไทยอย่าไปมองเมียนมาไปมากกว่านี้ เพราะเราเป็นเพื่อนบ้านกัน ต้องอยู่ด้วยกันอย่างสันติสุข
นอกจากนี้ โออาร์ ยังเน้นการต่อยอดนโยบาย OR SDG มุ่งสร้างสมดุลในทุกมิติทั้งด้าน S:Small การสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการรายย่อย ด้าน D:Diversified การลงทุนในธุรกิจที่เสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจหลัก และ ด้าน G:Green การดูแลสิ่งแวดล้อม
ที่ผ่านมาโออาร์ได้สร้างผลงานที่โดดเด่น อาทิ การยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรและวิสาหกิจชุมชนผ่านโครงการไทยเด็ด การสนับสนุนผู้เปราะบางทางสังคมผ่าน Cafe Amazon for Chance รวมถึงการติดตั้งโซลาร์รูฟในสถานีบริการพีทีทีสเตชั่น ที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก พร้อมตั้งเป้าสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2573 และการปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ในปี 2593
ม.ล.ปีกทองกล่าวทิ้งท้ายว่า การขับเคลื่อนองค์กรในยุคที่มีความท้าทายและการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนี้ จะต้องสร้างความแข็งแกร่งจากภายใน ควบคู่ไปกับการสร้างการเติบโตในทุกมิติ ทั้งด้านธุรกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการปรับแนวความคิดการดำเนินธุรกิจ โดยสร้างความเชื่อมั่นและการสื่อสารที่ใกล้ชิดผ่านโครงการ ‘CEO on tour’ เพื่อพบปะพูดคุยกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน ทั้งหน่วยงานภาครัฐ พนักงาน พันธมิตร นักลงทุน และสื่อมวลชน
ในโอกาสนี้ ม.ล.ปีกทองได้เปิดตัว Facebook Fanpage “ต้น ปีกทอง-Tone Peekthong” อย่างเป็นทางการ
เพื่อเป็นช่องทางในการสื่อสารและแลกเปลี่ยนข้อมูลด้วย