พรรคประชาชน เปิดตัวแคมเปญ สู้เลือกตั้ง ผู้ว่าฯ กทม. แย้มมีแคนดิเดตมากกว่า 5 คน ตั้งเป้ากวาด สก. 50 เขต โว ผลักดันการแก้ปัญหาได้ดีกว่า “ชัชชาติ”
วันที่ 25 ก.พ. 2568 ที่อาคารอนาคตใหม่ พรรคประชาชน (ปชน.) นำโดย นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรค พร้อมด้วย สส. และ สก.พรรคประชาชน ร่วมแถลงเปิดตัวแคมเปญ “2569 เปิด เปลี่ยน กรุง Hackable Bangkok” เตรียมเดินหน้าผลักดันนโยบายกรุงเทพฯ ผ่านการมีส่วนร่วมของประชาชน พร้อมนำเสนอแคนดิเดตและนโยบายที่ดีที่สุดให้ชาวกรุงเทพฯ ในการเลือกตั้งผู้ว่าและสมาชิกสภา กทม. ในปี 2569
โดยนายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ สส.กทม. ในฐานะผู้ดูแลยุทธศาสตร์การเลือกตั้งกรุงเทพฯ พรรคประชาชน กล่าวว่า วันนี้สิ่งที่เราได้เริ่มต้นไปแล้ว คือ การติดตามปัญหาฝุ่น PM 2.5 ซึ่งเป็นปัญหาลำดับต้นๆ ของกรุงเทพฯ
เราเล็งเห็นว่า วิกฤตนี้เป็นวิกฤตต่อเนื่อง และส่งผลกระทบอย่างร้ายแรง ซึ่งในอนาคตจะยิ่งมีความเสี่ยง ทั้งโรคหอบหืด โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง และโรคหัวใจ ซึ่งกรุงเทพฯ ก็จะต้องใช้งบประมาณในแก้ไขปัญหาเรื่องนี้เป็นหลักในอนาคต
ดังนั้น ควรเริ่มต้นแก้ปัญหาได้แล้ว โดยเฉพาะการสร้างพื้นที่ปลอดฝุ่น ซึ่งทุกสถานที่มีความพร้อม แต่ยังไม่มีงบประมาณเข้าไปแก้ไขปัญหา เราจึงอยากให้มองปัญหานี้ที่ต้นตอและแก้ไขปัญหา เพื่อให้ประชาชนได้มีอากาศที่มีคุณภาพหายใจเข้าไปในร่างกาย รวมถึงในอนาคตจะได้ไม่ต้องสิ้นเปลืองงบประมาณในการแก้ไขปัญหานี้
นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์
นายณัฐชา กล่าวถึงยุทธศาสตร์ในการบริหารจัดการกรุงเทพฯ ว่า เรามีความพร้อม ตั้งแต่สมัยพรรคอนาคตใหม่ ต่อเนื่องมาพรรคก้าวไกล จนถึงพรรคประชาชน ซึ่งมีฐานที่มั่นหลักหรือพื้นที่ที่คาดหวัง คือกรุงเทพฯ ซึ่งหลายครั้งเราก็ได้รับเสียงสนับสนุนจากประชาชนจำนวนมาก
“ที่ผ่านมาเรานำเสนอนโยบาย แนวคิด อนาคตของชาวกรุงเทพฯ ที่จะได้รับจากการบริหารงานของพรรคประชาชน เราเชื่อว่าคนกรุงเทพฯ ไม่ได้ตัดสินใจผ่านตัวบุคคล ไม่ได้ตัดสินใจผ่านพรรคการเมือง แต่จะตัดสินใจผ่านอนาคตของเขา ผ่านนโยบายของคนที่เข้ามาหยิบยื่นให้เขาว่า ใครจะนำเสนอนโยบายที่ดีที่สุด ที่จะสามารถเปลี่ยนอนาคตเขาได้มากที่สุด จึงเชื่อว่าการเลือกตั้งในปี 69 จะเป็นการเลือกตั้งที่สู้กันในสนามของนโยบายมากกว่าตัวบุคคล” นายณัฐชา กล่าว
ขณะที่ นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ด้วยสถานการณ์ทางการเมืองที่ผ่านมา ในการเมืองระดับประเทศ ที่พวกเราเห็นรอยร้าวต่างๆ ของพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งทำให้ไม่สามารถผลักดันวาระใหญ่ๆ ได้ เนื่องจากภายในพรรคร่วมรัฐบาลไม่สามารถตกลงกันหรือคิดเห็นไปในทิศทางเดียวกันได้
“พวกเราในฐานะพรรคฝ่ายค้านจึงมายืนยันต่อพ่อแม่พี่น้องประชาชนว่า พรรคประชาชนไม่จำเป็นต้องรอที่จะได้อำนาจในฝ่ายบริหาร แต่เราสามารถดำเนินการหลายๆ อย่าง เพื่อเตรียมการแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนได้
ในช่วงเวลา 2-3 ปี ที่ผ่านมา ตั้งแต่การเลือกตั้งสนามกรุงเทพฯ จนถึงการเลือกตั้งระดับประเทศในปี 66 เรามีผลงานการผลักดันอะไรที่แก้ไขปัญหาให้กับประชาชนชาวกรุงเทพฯ แล้วบ้าง และต่อจากนี้อีก 1 ปี จนถึงปี 69 เราจะมีทิศทางในการดำเนินการอย่างไร เพื่อพัฒนานโยบายในการแก้ไขปัญหาให้กับชาวกรุงเทพฯ ย้ำว่าไม่ใช่นโยบายของพรรคประชาชน แต่เป็นนโยบายของชาวกรุงเทพฯ ทุกคน” นายณัฐพงษ์ กล่าว
นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า เราจะต้องนำเสนอนโยบายและตัวแทนประชาชนที่ดีที่สุดให้กับชาวกรุงเทพฯ ได้เลือกในปี 69 โจทก์ของพวกเรา ไม่ใช่มองสนามการเลือกตั้งกรุงเทพฯ เป็นเพียงสนามที่จะส่งโมเมนตัมทางการเมือง เพื่อไปสู่การเลือกตั้งระดับประเทศ ปี 70 โดยทิศทางการทำงานต่อจากนี้ เราจะยืนยันการทำงานด้วยแนวทาง “3 จริง” คือ ประชาชนจริง สถานการณ์จริง และสถานที่จริง
นอกจากนี้ เรายังมีกฎหมายอีกหลายอย่าง และนโยบายอีกหลายข้อที่ต้องร่วมกันผลักดัน ซึ่งจะเป็นไปไม่ได้หากจะแก้ไขด้วยการเมืองในระดับท้องถิ่น หรือใช้เพียงอำนาจของ สก. หรือผู้ว่าฯ เพียงอย่างเดียว แต่ต้องอาศัยการผลักดันจากการเมืองระดับประเทศ และการแก้ไขกฎหมายของ สส.ไปพร้อมๆ กัน
ยืนยันว่าเราจะผลักดันให้เกิดการแก้ไขคู่ขนานกัน และขอเชิญชวนประชาชน ที่อยากจะมาร่วมสร้างการเปลี่ยนแปลง เข้าร่วมแคมเปญ ‘2569 เปิด เปลี่ยน กรุง Hackable Bangkok’ ทั้งการเข้ามาแสดงความคิดเห็น และร่วมเป็นแคนดิเดตของพรรคประชาชน โดยในทุกๆ เดือน พรรคประชาชนจะสื่อสารบอกต่อและจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นของประชาชน เพื่อแสดงให้ชาวกรุงเทพฯ เห็นว่า พรรคประชาชนเราเอาจริงเอาจัง
เมื่อถามว่าเหตุใดจึงเลือกช่วงเวลานี้เปิดแคมเปญ นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ในการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในปีหน้า นโยบายและแคนดิเดตที่ดีที่สุดจะต้องใช้เวลาในการทำงาน และลงไปรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ซึ่งแคนดิเดตที่จะลงสมัคร ขณะนี้มีอยู่หลายคน ยืนยันว่ามีคุณสมบัติมากเพียงพอ และเป็นคนที่ชาวกรุงเทพฯ จะต้องรัก และคิดว่าเหมาะสมในการเข้ามาบริหารแน่นอน ส่วนจะเป็นคนในหรือคนนอกนั้น เราค่อนข้างเปิดกว้าง
สำหรับคุณสมบัติที่เรามองว่าจะทำให้ชนะการเลือกตั้งนั้น สิ่งแรก คือ เป็นผู้ว่าฯ ที่พร้อมในการบริหาร สิ่งที่สอง ต้องมีคุณสมบัติในการประสาน เพราะคงหนีไม่พ้นปัญหาเชิงโครงสร้าง จึงทำให้จำเป็นต้องมีผู้ว่าฯ ที่กล้าสื่อสารอย่างตรงไปตรงมา หากติดขัดระเบียบประการใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับรัฐส่วนกลางก็ต้องกล้าพุ่งชน และเข้าไปติดต่อประสานงานมากกว่านี้ เพราะไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงได้
เมื่อถามว่ามองปัจจัยสนามการเลือกตั้งกรุงเทพฯ อย่างไร นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า เป็นสนามที่ทุกคนมีโอกาสเท่าๆ กัน ซึ่งพระประชาชนมีความมั่นใจ หากดูจากตัวเลขในการเลือกตั้งที่ผ่านมา ทั้ง สก.และ สส.ของเรา มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่เราก็ไม่ประมาท ไม่ได้นิ่งนอนใจในคะแนนที่ได้ พร้อมลงมือทำงานอย่างเต็มที่ เชื่อว่านโยบายและแคนดิเดตที่ดีจะเป็นปัจจัยที่ทำให้พวกเราได้ชัยชนะอีกครั้ง
นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า เรื่องที่นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ทำได้อย่างดี คือเรื่องของภาพลักษณ์ในการทำงานจริงจัง แต่อาจจะยังไม่เพียงพอ ถ้าในการเลือกตั้งครั้งหน้า เรานำเสนอนโยบาย และแคนดิเดตที่ดีเพียงพอ จนได้รับความไว้วางใจจากชาวกรุงเทพฯ อย่างล้นหลาม เราจะสามารถผลักดันการแก้ไขปัญหาได้ดีกว่านายชัชชาติ
เมื่อถามว่าตั้งเป้าไว้ได้เก้าอี้ สก. ไว้เท่าไหร่ นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ถ้าตั้งความหวังไว้ว่าเอาชนะ 50 เขต สก. อาจจะดูสูงเกินไป แต่เราตั้งความหวังไว้แบบนั้นจริงๆ เพราะทุกเขตเลือกตั้งมีโอกาสในการชนะ แต่ยังไม่อยากให้ตัวเลขในขณะนี้ คงต้องรอช่วงใกล้สนามเลือกตั้งจึงจะประเมินได้มากกว่านี้
เมื่อถามถึงกระแสข่าวในการเลือกตั้งสมัยหน้า นายชัชชาติจะลงอีกครั้ง นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ทุกคนที่เราเตรียมไว้มีคุณสมบัติเพียบพร้อม ขณะนี้มีมากกว่า 5 คน ซึ่งทุกคนมีความเป็นนักบริหาร และสิ่งสำคัญ คือ มีอุดมการณ์ยืนเคียงข้างประชาชน กล้ามีปากมีเสียงต่อสู้เพื่อประชาชน
นายณัฐพงษ์ มองว่า ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของกรุงเทพฯ คือปัญหาเชิงโครงสร้าง ซึ่งท้องถิ่นหรือกรุงเทพฯ ขาดอำนาจ โดยเราจะมีการยกร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ระเบียบราชการกรุงเทพฯ เพื่อผลักดันเข้าสู่สภาในสมัยนี้ แม้ขณะนี้เราจะเป็นเสียงข้างน้อย หากผลักดันไม่ผ่านก็ไม่เป็นไร เพราะเรามีร่างไว้อยู่แล้ว
“ถ้าการเลือกตั้งครั้งหน้าในปี 69 เราได้รับความไว้วางใจจากชาวกรุงเทพฯ และได้รับความไว้วางใจอีกครั้งในการเลือกตั้งใหญ่ปี 70 เมื่อเรามีอำนาจฝ่ายบริหาร เราพร้อมผลักดันกฎหมายต่างๆ ที่ยังเป็นอุปสรรคต่อการบริหารอย่างแน่นอน และเราจะแก้ไขปัญหา เรื่องการใช้สอยประโยชน์ที่ดิน ฝุ่น การขนส่งสาธารณะ การจัดการขยะและสิ่งแวดล้อม การศึกษา ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญเช่นกันด้วย” นายณัฐพงษ์ กล่าว