บริษัท ซันโทรี่ เบเวอเรจ แอนด์ ฟู้ด เอเชีย แปซิฟิก (SBFAP) สำนักงานใหญ่ของ ซันโทรี่ เบเวอเรจ แอนด์ ฟู้ด ในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งตั้งอยู่ ณ ประเทศสิงคโปร์ พร้อมการสนับสนุนจาก บริษัท ซันโทรี่ เบเวอเรจ แอนด์ ฟู้ด (ประเทศไทย) จำกัด (SBFT) ผู้นำตลาดอาหารเสริมสุขภาพภายใต้ตราผลิตภัณฑ์แบรนด์ในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชีย จัดพิธีลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) กับคณะเภสัชศาสตร์จาก 7 มหาวิทยาลัยชั้นนำของไทย ภายใต้โครงการความร่วมมืองานวิจัยด้านโภชนาการ (Research Collaboration on Nutrition Project) เพื่อพัฒนาองค์ความรู้ด้านโภชนาการผ่านการวิจัยและการแลกเปลี่ยนความรู้ทางวิทยาศาสตร์ โดยเน้นศึกษาประสิทธิภาพของซุปไก่สกัดด้านการชะลออายุทางชีวภาพ หรือ Biological Aging เพื่อตอบรับทิศทางประชากรศาสตร์ในประเทศไทยที่ก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุ และแนวโน้มของผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับด้านสุขภาพเพิ่มขึ้น ณ โรงแรมชาเทรียม ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพฯ
นายฮิเดกิ มากิ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายวิจัยและพัฒนา บริษัท ซันโทรี่ เบเวอเรจ แอนด์ ฟู้ด เอเชีย แปซิฟิก กล่าวว่า ซันโทรี่ เบเวอเรจ แอนด์ ฟู้ด เป็นบริษัทชั้นนำระดับโลกด้านการผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ ที่ยึดมั่นกับความเป็นเลิศด้านนวัตกรรมทางวิทยาศาตร์และคุณภาพของผลิตภัณฑ์ในระดับสูง เพื่อพัฒนาอาหารเสริมและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพให้กับผู้บริโภค ทั้งนี้ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีการแพทย์ในปัจจุบันทำให้ประชากรทั่วโลกมีช่วงอายุขัย (lifespan) ยาวนานขึ้น ในขณะที่ระยะเวลาของสุขภาพที่ดี (healthspan) กลับไม่ได้เพิ่มขึ้นตามสัดส่วนที่เท่ากับการเพิ่มขึ้นของอายุขัย ส่งผลให้แนวทางแก้ไขปัญหาด้านการชะลอวัยจึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งต่อการเพิ่มช่วงระยะเวลาของสุขภาพที่ดี นอกจากนี้ อายุทางชีวภาพ (biological age) ซึ่งสามารถปรับเปลี่ยนได้จากรูปแบบการดำเนินชีวิต และอาหารที่รับประทาน เป็นตัวบ่งชี้ระยะเวลาของสุขภาพที่ดี ทำให้บทบาทของภาคอุตสาหกรรมในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ด้านการดำเนินชีวิตและการบริโภคที่เหมาะสมจึงมีความสำคัญมากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้จากสาเหตุดังกล่าว ส่งผลให้บริษัทฯ เล็งเห็นถึงความสำคัญของความร่วมมือด้านการวิจัยกับมหาวิทยาลัยชั้นนำในประเทศไทย เนื่องจากเชื่อมั่นในศักยภาพของนักวิจัยและผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพและโภชนาการระดับแนวหน้าของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยความร่วมมือระหว่างแวดวงวิชาการและภาคเอกชนในครั้งนี้จะช่วยกระดับองค์ความรู้ด้านการชะลออายุทางชีวภาพซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อระบบสาธารณสุขของประเทศ รวมทั้งประชากรไทยในฐานะผู้บริโภค นอกจากนี้ในอนาคต บริษัทฯ อาจขยายความร่วมมือด้านงานวิจัยไปยังประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาค เพื่อร่วมศึกษาประสิทธิภาพของซุปไก่สกัดด้านการชะลอวัยในเชิงลึกมากยิ่งขึ้น เพราะเรามีความเชื่อว่า สุขภาพที่ดีคือพื้นฐานของการดำรงชีวิตอย่างมีคุณค่าและมีความหมาย สอดคล้องกับเป้าหมายของบริษัทฯ ที่มุ่งจุดประกายความสดใสให้กับชีวิตของผู้คน (To inspire the brilliance of life)
นายโอเมอร์ มาลิค ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ประเทศไทยและอินโดไชน่า บริษัท ซันโทรี่ เบเวอเรจ แอนด์ ฟู้ด (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ให้การสนับสนุนการจัดทำ MOU เปิดเผยว่า ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุเร็วที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติคาดการณ์ว่า ประเทศไทยจะเข้าสู่ระดับสังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มตัว (Super-aged Society) ภายในปี พ.ศ.2583 และจากเป้าหมายร่วมของบริษัทในเครือซันโทรี่ด้านการสร้างความสดใสให้กับชีวิตของผู้คน บริษัทฯ จึงให้ความสำคัญกับการส่งเสริมสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้บริโภคมาตลอดการดำเนินงานกว่า 50 ปีในประเทศไทย ผ่านความเป็นเลิศด้านนวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์และทีมงานที่แข็งแกร่ง เพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพที่มีคุณสมบัติด้านการชะลออายุทางชีวภาพและเพิ่มช่วงระยะเวลาของสุขภาพที่ดี เพราะการมีสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีของประชากร เป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ
โดยด้วยเหตุนี้ บริษัทฯ จึงได้สนับสนุนความร่วมมือระหว่างบริษัท ซันโทรี่ เบเวอเรจ แอนด์ ฟู้ด เอเชีย แปซิฟิก ที่ดูแลงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ภายใต้ตราผลิตภัณฑ์แบรนด์ กับคณะเภสัชศาสตร์จาก 7 มหาวิทยาลัยชั้นนำของไทย ได้แก่ มหาวิทยาลัยมหิดล, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์, มหาวิทยาลัยขอนแก่น, มหาวิทยาลัยศิลปากร และ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ในการแลกเปลี่ยนความรู้ทางวิทยาศาสตร์ด้านโภชนาการเรื่องคุณสมบัติของซุปไก่สกัดในเรื่องการชะลออายุทางชีวภาพ นอกเหนือจากการมีคาร์โนซีนและวิตามินบี 12 ซึ่งมีส่วนช่วยในการทำงานตามปกติของระบบประสาทและสมอง โดยบริษัทฯ เชื่อว่าความร่วมมือกันในครั้งนี้ ซึ่งมีกรอบระยะเวลา 5 ปี จะก่อให้เกิดองค์ความรู้ใหม่ เพื่อนำไปต่อยอดงานวิจัยต่างๆที่เป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริมสุขภาพที่ดีอย่างยั่งยืนให้กับผู้บริโภคต่อไปในอนาคต
รองศาสตราจารย์ เภสัชกร สุรกิจ นาฑีสุวรรณ คณบดีคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล หนึ่งในตัวแทนจาก 7 มหาวิทยาลัย กล่าวว่า มหาวิทยาลัยมหิดลมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมโครงการวิจัยในครั้งนี้ เนื่องจากเรามีพันธกิจส่งเสริมการวิจัยเพื่อสร้างนวัตกรรม รวมถึงค้นหาประโยชน์ของสารต่าง ๆ จากธรรมชาติ ตลอดจนผลิตภัณฑ์ที่เป็น functional food โดยงานวิจัยครั้งนี้มีความน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะมีจำนวนผู้เข้าร่วมการทดลองจำนวนมากที่จะสามารถสร้างหลักฐานทางวิทยศาสตร์ที่มีความน่าเชื่อถือสูงได้ อีกทั้งเป็นงานวิจัยแบบ multi center research จากการเข้าร่วมของมหาวิทยาลัยมากถึง 7 แห่ง ที่ร่วมมือกันดำเนินการวิจัยเพื่อสร้างองค์ความรู้ใหม่ที่มีคุณภาพสูง ซึ่งเราคาดหวังว่าจะสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ช่วยส่งเสริมการเติบโตของเศรษฐกิจใหม่จากการใช้ประโยชน์จากสารอาหารและแหล่งวัตถุดิบที่มีอยู่ในประเทศไทย ซึ่งไม่เพียงสร้างประโยชน์ทางด้านสุขภาพให้กับผู้บริโภคเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบเชิงบวกไปถึงรากหญ้า ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ จนถึงปลายน้ำ ผลักดันให้เกิดการจ้างงานและการส่งต่อองค์ความรู้จากการนำเอาวัตถุดิบในประเทศมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงอีกด้วย