"มาริษ" สรุปผลการเยือนฮานอย พบนายกฯ และรมว.กต.เวียดนาม ส่งเสริมความร่วมมือ-หุ้นส่วนยุทธศาสตร์การค้า 2 ประเทศ - ปูเตรียมการเดินทางของนายกฯ ไทยในปีนี้ - มั่นใจปีนี้ตัวเลขการค้า 2 ประเทศเกินเป้า 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์
เมื่อวันที่ 25 ก.พ.68 นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยผลลัพธ์การเดินทางเยือนสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามอย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ 24-25 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาว่า การเดินทางเยือนครั้งนี้ว่า ได้มีโอกาสเข้าคาราวะ และหารือทวิภาคีร่วมกับนายฝ่าม มิงห์ จิ๋งห์ นายกรัฐมนตรีเวียดนาม และนายบุ่ย แทงห์ เซิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเวียดนาม เพื่อติดตามผลความร่วมมือที่ผ่านมา และวางทิศทางความร่วมมือในอนาคตให้เป็นยุทธศาสตร์มากขึ้น เพราะในปีหน้า ไทยและเวียดนาม จะมีความสัมพันธ์ทางการทูตครบ 50 ปี และเพื่อลดขั้นตอนต่าง ๆ ส่งเสริมให้ธุรกิจไทย ลงทุนในเวียดนามได้สูงขึ้น ไม่มีอุปสรรคขัดขวาง ตนเองจึงได้เสนอให้คณะทำงานของทั้ง 2 ประเทศ มาพบกันและหารือเชิงยุทธศาสตร์ครอบคลุม ทั้งความมั่นคง เศรษฐกิจ และสังคม ซึ่งในด้านความมั่นคงนั้น ได้เสนอให้จัดตั้งเวทีการพบกันเป็นระยะ เพื่อให้กลาโหมของ 2 ประเทศได้พบกัน เพื่อความร่วมมือด้านความมั่นคง และอุตสาหกรรมกองทัพ ส่วนด้านเศรษฐกิจนั้น ควรให้ไทยและเวียดนาม เป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานของโลก ซึ่งการทำงาน และความร่วมมือเศรษฐกิจระหว่างกัน จะทำให้ไทย และเวียดนามได้รับผลประโยชน์ร่วมกัน ส่งเสริมซึ่งกันและกัน รวมทั้งยังมีนโยบายสำคัญของรัฐบาลไทย ในการผลักดันพลังงานสีเขียว และธุรกิจการค้าปลีกไทยในเวียดนาม ที่จะต้องสนับสนุนบทบาทเอกชนทั้ง 2 ประเทศให้ได้รับผลประโยชน์ร่วมกัน และความร่วมมือด้านสังคมนั้น ให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาพ และการศึกษาเป็นหลัก ซึ่งภาคเอกชน ก็จะมีบทบาทสำคัญในการแลกเปลี่ยนความร่วมมือด้านการศึกษา ซึ่งยุทธศาสตร์สำคัญจะต้องมีผู้ได้รับประโยชน์ชัดเจน มากไปกว่าเพียงการพูดคุย
นายมาริษ ยังระบุว่า การเข้าพบและหารือทวิภาคีทั้งหมดนี้ ยังเป็นการปูทางสำคัญสำหรับการเดินทางเยือนเวียดนามอย่างเป็นทางการของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี รวมทั้งจะมีการหารือของคณะรัฐมนตรีร่วมกัน ที่จะหารือเรื่องต่าง ๆ ให้รัฐมนตรีได้พูดคุยกันให้การเดินทางเยือนของนายกรัฐมนตรี มีผลสำเร็จเป็นรูปธรรม ตนจึงได้เสนอให้มีการจัดตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจ เพื่อวางเป้าหมาย และยุทธศาสตร์ทั้งหมดร่วมกัน เพื่อดำเนินการไปพลางก่อนที่จะมีการเดินทางเยือนอย่างเป็นทางการ ซึ่งนายกรัฐมนตรีเวียดนาม ก็เห็นด้วยกับการจัดตั้งคณะทำงานดังกล่าว และเห็นด้วยกับข้อเสนอไทยทั้งหมด และหวังจะได้พบนายกรัฐมนตรีของไทย เพื่อนำไปสู่การเป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์ที่ชัดเจน มีแผนยุทธศาสตร์ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น
นอกจากนั้น ฝ่ายเวียดนาม ยังเห็นพ้องร่วมกันในการร่วมกันพัฒนาด้านความมั่นคงทางพลังงาน โดยเฉพาะพลังงานสีเขียว และปิโตรเคมี ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์สำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจ เพื่อผลประโยชน์ของทั้ง 2 ประเทศ รวมทั้งยังสนับสนุนการเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานเส้นทางการคมนาร่วมกัน ตามยุทธศาสตร์ “the Three Connects Strategy” และข้อริเริ่ม “6 ประเทศ 1 จุดหมายปลายทาง” Six Countries, One Destination ของไทยด้วย
นายมาริษ ยังเปิดด้วยว่า เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา (25 ก.พ.) ตนเองได้มีโอกาสพบกับบริษัท FPT ซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำของเวียดนาม ที่ดำเนินการในเรื่อง AI และเศรษฐกิจดิจิทัล ซึ่งตนรู้สึกชื่นชม เพราะถือเป็นธุรกิจของคนรุ่นใหม่ มีแนวคิดครอบคลุมห่วงโซ่อุปทานตั้งแต่ต้นน้ำ และใช้องค์ความรู้พัฒนากระบวนการผลิตอุตสาหกรรม ตนจึงอยากใช้โมเดลของ FPT ไปร่วมมือกับประเทศไทย ทั้งภาครัฐ และเอกชน เพื่อให้สังคม และภาคธุรกิจได้ประโยชน์จากองค์ความรู้ และความร่วมมือนี้ด้วย ซึ่งหากประสบผลสำเร็จ ก็จะทำความร่วมมือระหว่างภาครัฐ และเอกชนประสบความสำเร็จ โดยที่สังคมและประชาชนได้รับผลประโยชน์ต่อไป
ส่วนการหารือร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเวียดนาม ถึงการตั้งเป้าหมายมูลค่าการค้า 25,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2568 นี้นั้น นายมาริษ ระบุว่า ความร่วมมือทางการค้านั้นเป็นไปได้สูง เพราะมีมูลค่าทางการค้าร่วมกันมากอยู่แล้ว แต่การขยับให้ขึ้นไปมากขึ้นไปอีก ก็ต้องอาศัยการทำธุรกิจร่วมกันด้วยผ่านความร่วมมือระหว่างไทย และเวียดนาม ในการเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานโลกร่วมกัน เพราะในยุคปัจจุบัน ไม่มีใครสามารถครอบครองตลาดได้ทั้งหมด ตนได้เสนอแนวคิดให้เวียดนาม มีความร่วมมือกันในห่วงโซ่อุปทานเพิ่มมากขึ้น และช่วยกันผลิต และค้าขายร่วมกันบนตลาดโลก ซึ่งก็จpะช่วยให้ทั้ง 2 ประเทศเป็นพันธมิตรที่มียุทธศาสตร์ร่วมกัน ได้ประโยชน์จากตลาดโลกร่วมกัน ซึ่งตัวเลขดังกล่าว ตนเชื่อมั่นว่า หาก 2 ประเทศสามารถทำได้ จะทำให้มูลค้าการค้าไทยและเวียนนาม จะยิ่งสูงกว่าเป้าที่ตั้งไว้