เปิดเบื้องลึก ห้องประชุม บอร์ดคดีพิเศษ เลื่อนประชุม คดีฮั้วเลือกสว.หยั่งเสียงแล้วไม่ถึง15คน
เรียกได้ว่ากลายเป็นวาระร้อน เดือน กุมภาพันธ์ สำหรับการประชุม คณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) ครั้งที่ 2/2568 วันที่ 25 ก.พ ที่มีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม นั่งเป็นประธาน สำหรับวาระสำคัญ คือ จะมีการเสนอขอมติรับเป็นคดีพิเศษ
กรณีการคัดเลือกสมาชิกวุฒิสภา ที่มีกระบวนการหรือพฤติการณ์ที่มิได้เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม ซึ่งมีพฤติการณ์อันอาจเป็นความผิดตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภาพ.ศ. 2561 และประมวลกฎหมายอาญา หรือ เรียกว่า คดีโพยฮั้วเลือกสว.
13.30 น. ที่ประชุมเริ่มพิจารณาวาระดังกล่าว เป็นวาระแรก เนื่องจาก บิ๊กอ้วน-ภูมิธรรม มีภารกิจต้องเดินทางไปต่างประเทศ เกรงว่าที่ประชุมจะใช้เวลาในการพิจารณานาน
พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการ แจ้งต่อที่ประชุมว่ามีกรรมการมาประชุมทั้งหมด 19 คน จาก 22 คน มีกรรมการขาดประชุมโดยตำแหน่ง 1 คน และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิอีก 2 คน กรรมการ โดยตำแหน่ง พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. ไม่ได้เข้าร่วมประชุม มอบหมายให้ พล.ต.ท.สมประสงค์ เย็นท้วม เป็นผู้แทน แต่ปรากฏว่า พล.ต.ท.สมประสงค์ ไม่ได้เดินทางมาร่วมประชุม
ส่วนของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ อย่าง พล.ต.อ.สุทิน ทรัพย์พ่วง กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านการสอบสวนคดีอาญา และ พล.ต.ท.สำราญ นวลมา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ได้ขาดการประชุม
เริ่มได้กลิ่นความแปลก กรรมการสายตำรวจ ไม่เข้าร่วม อีกทั้งยังพบว่า กรรมการโดยตำแหน่ง ส่วนใหญ่เป็น การส่งผู้แทนมาร่วมประชุม นางสาวพงษ์สวาท นีละโยธิน ปลัดกระทรวงยุติธรรม ส่งผู้แทนคือ นายโกมล พรมเพ็ง รองปลัดกระทรวงยุติธรรม นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ส่ง นายจิรานุวัฒน์ ธัญญะเจริญ ผอ.อาวุโส ฝ่าย กฎหมาย ธนาคารแห่งประเทศไทย
นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง ส่ง นายพนิต ธีรภาพวงศ์ ที่ปรึกษากฎหมาย สำนักงานปลัดกระทรวงคลัง นายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ ปลัดกระทรวง พาณิชย์ ส่ง นายณรงค์ งามสมมิตร ที่ปรึกษากฎหมายกระทรวงพาณิชย์ นายไพรัช พรสมบูรณ์ศิริ อัยการสูงสุด ส่ง นางเยาวลักษณ์ นนทแก้ว อธิบดีอัยการคดีพิเศษ เข้าร่วมประชุม แต่ผู้แทน กรรมการโดยตำแหน่งนั้น ออกเสียง ลงมติ ได้
สำหรับกรรมการโดยตำแหน่งมาประชุมด้วยตนเอง คือ นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทยนายปกรณ์ นิลประพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา พล.อ.พิสิษฐ์ นพเมือง เจ้ากรมพระธรรมนูญ นายวิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ
จากเดิมที่จะต้องเข้าประชุมทั้งหมด 22 ราย เหลือเพียง 19 ราย ทุกอย่างดูเหมือนจะราบรื่น แต่มิได้เป็นเช่นนั้น แต่ มติชนออนไลน์ ได้ข้อมูลเบื้องลึก อินไซด์ บรรยากาศการประชุม มาเล่าสู่กันฟัง
เมื่อการประชุมเริ่มต้น ฝ่ายเลขาฯ ได้นำเสนอรายงานการสืบสวนคดี ข้อเท็จจริงพฤติการณ์ แห่งคดี ลักษณะเข้าข่ายองค์กรอาชญากรรม อย่างไร พร้อมเปิดคลิปวิดีโอ ผู้เชียวชาญด้านคณิตศาสตร์ ให้กรรมการรับชม เรียกได้ว่า ข้อมูลมาพร้อม
ต่อมาที่ประชุม ในสัดส่วนของ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ฝ่ายกฎหมายบางคน ได้เริ่มแสดงความคิดเห็นหนุนเต็มที่พร้อมโหวตลงมติทันที บอกต่อที่ประชุมด้วยว่า ถ้าดีเอสไอไม่เข้าไปทำแล้วใคร จะทำคดีมันซับซ้อน เข้าข่ายองค์กรอาญชากรรม แต่บางรายก็ถามเรื่องขอบเขตอำนาจหน้าที่การสอบสวนของดีเอสไอ ซึ่งประเด็นดังกล่าว คือ เรื่องการดำเนินการตามมาตรา 49 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. 2560 ว่าเป็นอำนาจของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) หรือเป็นอำนาจของเลขาธิการคณะกรรมการเลือกตั้ง
โดย เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้อธิบายข้อกฎหมายให้ข้อสังเกต ในที่ประชุม ว่า เรื่องการส่งหนังสือตอบกลับมายังดีเอสไอ ของเลขากกต.นั้น เหมือนกับการ ตัดตอน ความเห็นของทาง คณะกรรมการกกต.หรือไม่ เพราะ ไม่ใช่หน้าที่ ของเลขากกต. การทำดังกล่าวอาจจะไปเข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา 157 หรือไม่
และในส่วนประเด็นของ ความผิดว่าด้วยความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2561 มาตรา 77 (1) นั้น ดีเอสไอ ไม่มีอำนาจทำคดีนี้ ซึ่งเป็นอำนาจเฉพาะของ กกต. ตในฐานะองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นตามเจตนารมย์ ของรัฐธรรม ที่ให้อำนาจองค์อิสระ หากคณะกรรมการคดีพิเศษ รับเป็นคดีพิเศษ อาจจะถูกดำเนินคดี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ได้ เช่นกัน
พอมาถึงช่วงนี้ คณะกรรมการด้านกฎหมาย หลายคนได้รับฟัง เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ซึ่งถือได้ว่า เป็นหน่วยงานด้านกฎหมายของรัฐ ดีเฟน ออกตัวเช่นนี้ หลายคนที่เป็นผู้แทนรับมอบอำนาจ เริ่ม มองซ้ายมามองว่า
บิ๊กอ้วน ประธานในที่ประชุมปล่อยให้ประชุม อภิปรายกันได้อย่างอิสระ ใช้เวลากว่า 2 ชั่วโมง ฝ่ายเลขาฯ เริ่มเห็นแล้วว่า ผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านกฎหมาย บางคน เริ่มเปลี่ยนท่าที่ จากเดิมพร้อมลงมติ ทันที กลายเป็น เสนอให้ เลื่อนไปก่อน เพื่อความรอบอบรัดกุม อีกทั้งในประชุมไม่มี กกต.มาชี้แจงในหลายประเด็น
แต่ว่ากันว่า ฝ่ายเลขาฯได้วิเคราะห์ เสียง กรรมการจากการอภิปรายแล้วมีแน้วโน้ม ไม่ผ่านมาแน่ เพราะองค์ประชุมมาแค่ 19 แต่มีผู้ขาดประชุม 3 และเมื่อฟังเสียงแล้ว เชื่อมีกรรมการ มากกว่า 4 คน จะไม่ลงมติ ดังนั้นเสียงจะไม่ถึง 15 เสียง ตามกฎหมายคดีพิเศษกำหนด ฝ่ายเลขาฯ เลยดำเนินการถอนการพิจารณาวาระนี้ แล้วเลื่อนการประชุม
โดยเหตุผลว่า ให้คณะพนักงานสืบสวนฯ ดีเอสไอ ไปดำเนินการในประเด็นข้อสงสัย ข้อกฎหมายเพิ่มเติม และดำเนินการ เสนอเรื่องผ่านคณะอนุกรรมการกลั่นกรองด้านอาชญากรรมระหว่างประเทศและอาชญากรรมพิเศษของกรมสอบสวนคดีพิเศษดำเนินการ ก่อนนำเข้าที่ประชุมคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) อีกครั้ง ในวันที่ 6 มีนาคม ซึ่งต้องมาลุ้นอีกครั้ง