อดีตปธ.ชมรม รพศ./รพท.ไม่เห็นด้วยให้ สปสช.ดูแลผู้ประกันตน แนะทฤษฎี “ขนมชั้น” แยกกองทุนดูแลตามกำลังจ่าย
ความคืบหน้ากรณีมีข้อเสนอให้โอนการรักษาพยาบาลผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม ไปให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ดูแล ซึ่งสามารถทำได้ตามมาตรา 10 แห่งพระราชบัญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545 ที่ให้คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) หารือร่วมกับคณะกรรมการประกันสังคม (บอร์ดประกันสังคม) นั้น
เมื่อวันที่ 1 มีนาคม นพ.อนุกูล ไทยถานันดร์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาล (รพ.) ราชบุรี ในฐานะอดีตประธานชมรมโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป กล่าวว่า หลักการสร้างความยั่งยืนของระบบสุขภาพต้องมี 3 ส่วนไปพร้อมกัน คือ กองทุนสุขภาพอยู่ได้ ประชาชนที่เป็นผู้รับบริการต้องไม่ล้มละลายจากการรักษาพยาบาล และโรงพยาบาลหรือหน่วยบริการที่ให้บริการต้องอยู่ได้ เพราะถ้าหากเป็นภาพที่กองทุนอยู่ได้ ประชาชนได้ประโยชน์สูงสุด ขณะที่หน่วยบริการอยู่ไม่ได้ ก็จะไม่เกิดความยั่งยืน หรือหากเป็นกรณีที่กองทุนจ่ายให้หน่วยบริการได้อย่างดี แต่หน่วยบริการกลับให้บริการไม่ได้ ประชาชนก็จะเดือดร้อน ฉะนั้น คนที่มองภาพรวมต้องรักษาสมดุลทั้ง 3 ส่วนให้ดี
นพ.อนุกูล กล่าวว่า หลักใหญ่ของกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ บัตรทอง มีหลักการดี มีทีมงานด้านวิชาการดี แต่ปัญหาของบัตรทองยังติดอยู่กับวิธีคิดในการสนับสนุนหน่วยบริการ “น้อยมาก” แต่จะเน้นไปในผู้รับบริการและความอยู่รอดของกองทุนมากกว่า รัฐบาลให้งบประมาณมาเท่านี้ ก็ตั้งจ่ายให้หน่วยบริการเท่านี้ โดยไม่คำนึงถึงจำนวนผู้รับบริการที่เพิ่มขึ้น เรียกได้ว่าเป็นการบริการงบฯ ปลายปิด ในขณะที่กองทุนมีความต้องการเพิ่มสิทธิประโยชน์ที่จะให้ประชาชนพอใจ แต่หน่วยบริการรับไม่ไหวภาระต้นทุนไม่ไหวแล้ว
“อย่างงบดูแลผู้ป่วยใน อิงตัวเลขค่าใช้จ่ายตามจริงของ รพ.ของรัฐ เฉลี่ยราวๆ 13,000 บาทต่อหน่วย (AdjRW หมายถึง ค่าน้ำหนักสัมพัทธ์ที่ปรับค่าตามวันนอน) แต่บัตรทองจ่ายให้เพียง 8,350 บาท ซึ่งเป็นตัวเลขต้นทุนจาก รพ.ของรัฐ ไม่ต้องพูดถึงต้นทุนจาก รพ.เอกชน หรือ รพ.ของโรงเรียนแพทย์เลย ฉะนั้น บัตรทองไม่สนต้นทุนตรงนี้ เพราะเป็นการจ่ายงบปลายปิด ไม่ว่าปีนั้นคนไข้จะเยอะเท่าไร ตรงนี้ทำให้หน่วยบริการอยู่ไม่ได้ ทำให้เห็นภาพสะท้อนว่า รพ.ของเอกชน แทบไม่รับคนไข้บัตรทอง เพราะ รพ.จะต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายสูง แม้แต่ รพ.เอกชนขนาดเล็ก ก็ไม่รับคนไข้บัตรทอง นี่เป็นภาพว่าหน่วยบริการไม่โอเคระหว่างงบฯ ที่ได้กับต้นทุนของ รพ.เอง” นพ.อนุกูล กล่าว
นพ.อนุกูล กล่าวว่า สำหรับผู้ป่วยจากกองทุนประกันสังคม หากเป็นโรคเจ็บป่วยทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นผู้ป่วยใน หรือผู้ป่วยนอก ยังมี รพ.เอกชนขนาดกลางถึงขนาดเล็ก ยินดีรับผู้ป่วยประกันสังคม ภาพนี้สะท้อนให้เห็นว่า รพ.ยังพอจะบริหารจัดการต้นทุนจากงบที่ได้รับจากกองทุน
“ทั้งหมดเป็นภาพสะท้อนที่ค่อนข้างชัดว่า ทำไมเอกชนถึงหนีจากบัตรทองไป อย่างไรก็ตาม รพ.เอกชนยังรับผู้ป่วยบัตรทอง เฉพาะการรักษาที่ไม่ใช่งบปลายปิด เช่น ล้างไต สวนหัวใจ ที่แยกออกมาเป็นการจ่ายแบบปลายเปิด ที่หากให้บริการเยอะ ก็จ่ายให้หน่วยบริการตามที่ตกลงกัน พอเงินไม่พอทาง สปสช. ก็จะไปหาเงินจากตรงอื่นมาเติมให้ ทำให้ รพ.เอกชน ยังมาช่วยเหลือส่วนนี้” นพ.อนุกูล กล่าว
นพ.อนุกูล กล่าวว่า ตนคิดว่าผู้ประกันตนต้องฟังข้อมูลให้รอบด้านมากกว่านี้ สำหรับประชาชนทุกคนในประเทศ เชื่อว่าหลักประกันสุขภาพของประเทศ ไม่ควรมีระบบเดียว กลับกันการมีระบบสุขภาพหลายระบบ ทำให้เกิดการแข่งขันเพื่อไม่ให้ระบบสุขภาพ จากกองทุนของตัวเองไม่ด้อยไปกว่าคนอื่น ทำให้เกิดการแข่งขันที่เป็นเรื่องดี แต่หากมีการรวมกองทุนเป็นหนึ่งเดียวก็จะไม่เกิดการแข่งขัน การเปรียบเทียบ นอกจากนั้น ยังเชื่อในหลักการ “ขนมชั้น” โดย ศ.กิตติคุณ นพ.ภิรมย์ กมลรัตนกุล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ยืนบนหลักความคิดว่า “ชั้นที่หนึ่ง” ทุกคนต้องได้รับสิทธิในการรักษาพยาบาลเท่าเทียมทุกคน ไม่ว่าจะเป็นผู้ป่วยสิทธิใด ทุกกองทุนสุขภาพต้องได้เท่ากัน แต่ด้วยที่มาของเงินในแต่ละกองทุนต่างกัน ทำให้เกิด “ชั้นที่สอง” อย่าง ประกันสังคม ที่นายจ้างและผู้ประกันตน ร่วมกันจ่ายค่ารักษาพยาบาลมา ก็ควรจะได้รับสิทธิมากกว่าข้าราชการที่ให้สิทธิว่าเป็นผู้ที่มีรายได้น้อย รัฐบาลจึงจุนเจือด้วยสิทธิการรักษาพยาบาล ที่สามารถเข้า รพ.ของรัฐได้ทุกแห่ง เพื่อลดส่วนต่างจากการต้องเข้ารักษาใน รพ.เอกชน ส่วนนี้เป็นสิ่งที่กรมบัญชีกลางได้ท็อป-อัพ (Top-Up) มาให้ข้าราชการ
“แต่ละกองทุนก็สามารถพิจารณาเพิ่มสิทธิประโยชน์ให้ผู้ประกันตนของตัวเองได้ ตามงบที่ตัวเองมี แต่ไม่จำเป็นต้องนำกองทุนสุขภาพไปรวมเป็นกองทุนเดียว และถ้ายิ่งมีการรวมกันในสิทธิบัตรทองอย่างเดียว รพ.ของรัฐจะแย่มาก รพ.เอกชนเองก็อาจจะถอนตัวออกไปหมด สุดท้ายคนไข้ก็จะเข้าไปใน รพ.ของรัฐอย่างเดียว ก็หนักหลังแอ่นเลย ฉะนั้น ทฤษฎีขนมชั้นไม่ได้เป็นการนำกองทุนสุขภาพไปรวมกัน แต่เป็นการประกาศให้ชัดว่าสิทธิรักษาพยาบาลขั้นพื้นฐานมีอะไรบ้างในแต่ละเรื่อง และมีการท็อป-อัพขึ้นมา สิทธิการรักษาอะไรที่ดีอยู่แล้วก็จะต้องไม่ตัดออก” นพ.อนุกูล กล่าว