ใส่บาตรสะพานมอญ ล่องแพชมวัดใต้น้ำ ที่สังขละบุรี
GH News March 01, 2025 05:09 PM

การเดินทางของแต่ละคนย่อมมีเหตุผลและจุดหมายที่แตกต่างกัน บางคนเดินทางเพื่อออกไปพบเพื่อนใหม่ สร้างมิตรภาพระหว่างทาง บางคนมองหากิจกรรมท้าทายเพื่อเพิ่มสีสันให้ชีวิต หรืออาจเลือกออกเดินทางเพื่อสัมผัสรสชาติอาหารแปลกใหม่ที่ไม่เคยลอง ขณะที่บางคนเพียงแค่อยากหลีกหนีความวุ่นวายจากวิถีชีวิตในเมืองใหญ่ ไปพักใจในสถานที่เงียบสงบ

หนึ่งในจุดหมายปลายทางที่อยากชวนให้ลองเปิดประสบการณ์สักครั้ง คือ อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี เมืองเล็ก ๆ ริมฝั่งแม่น้ำสามสาย ได้แก่ แม่น้ำซองกาเลีย แม่น้ำบีคลี่ และแม่น้ำรันตี หรือที่เรียกกันว่า “สามประสบ” จุดบรรจบที่งดงามราวกับได้สะท้อนถึงวิถีชีวิตชาวไทย ชาวมอญ และชาวกะเหรี่ยง ที่อยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืนและรักษาวิถีทางวัฒนธรรมประเพณี รวมถึงมีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจรอต้อนรับการเดินทางมาของทุกคน

ใส่บาตรตอนเช้า วิถีชาวบ้านมี่สะพานมอญ
พระสงฆ์รับบิณฑบาตรทอดยาวตลอดเส้นถนน

การเดินทางมาที่อ.สังขละ ในครั้งนี้ เราร่วมคณะมากับกรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม ซึ่งได้จัดโครงการเข้าวัดปฏิบัติธรรมวันธรรมสวนะ ศรัทธาอิ่มบุญ อุดหนุนชุมชน ซึ่งเป็นการต่อยอดและขยายผลจากปีที่ผ่านมา โดยร่วมกับสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัด คัดเลือกสถานที่ที่มีประเพณีโดดเด่น มีวัดอยู่ใกล้ชุมชน มีการให้บริการจัดของตักบาตรให้กับนักท่องเที่ยว การบริการเช่าชุดพื้นถิ่น การจัดพื้นที่แสดงสินค้าสำหรับชุมชน ก่อให้เกิดรายได้แก่ชุมชนและส่งผลให้มีการพัฒนาต้นทุนทางวัฒนธรรมที่มีอยู่ในเมืองหลักและเมืองรอง

โดยมีทั้งหมด 10 แห่ง ได้แก่ 1. ตักบาตรสะพานมอญ จังหวัดกาญจนบุรี 2. นุ่งซิ่น นั่งสาด ตักบาตร 9 วัด จังหวัดกาฬสินธุ์ 3. ตักบาตรวัดไทยสามัคคี จังหวัดตาก 4. ทำบุญตักบาตร ยลวิถีลาวเวียง จังหวัดนครนายก 5. ชิมหนม ชมหลาด ตักบาตร หลาดลองแล จังหวัดพังงา 6. ตักบาตรทางน้ำ ริมคลองข้าวตอก จังหวัดพิจิตร 7. ตักบาตรพระทางน้ำวัดธาราวดี (บางจาก) จังหวัดนครศรีธรรมราช 8. ปราจีนบุรีรวมใจ ตักบาตร เติมบุญ สร้างกุศลวิถีไทย จังหวัดปราจีนบุรี 9. ถนนบิณฑบาต ตามรอยหลวงปู่มั่น จังหวัดสกลนคร

สะพานมอญและเด็กๆ เทินหม้อ รอต้อนรับนักท่องเที่ยว

จากรุงเทพฯ เข้าสู่ตัวเมืองกาญจนบุรีมุ่งหน้าไปตามเส้นทางคดเคี้ยวที่โอบล้อมด้วยป่าเขียวชอุ่ม สูดกลิ่นอายธรรมชาติอย่างเต็มปอด ปล่อยใจเพลิดเพลินไปกับวิวทิวทัศน์ระหว่างทางก็มาถึง ต.หนองลู อ.สังขละบุรี การเดินทางมาถึงสังขละใช้เวลาราวๆ 5-6 ชม. ก็เกือบเย็นแล้วค่ำคืนนี้จึงพักผ่อนให้เต็มที่ เพื่อเตรียมตัวสำหรับเช้าวันใหม่ที่จะได้สัมผัสความงดงามของสังขละบุรีอย่างใกล้ชิด

นักท่องเที่ยวถ่ายภาพกับเด็กๆ น่ารักสดใส

เช้ามืดของวันถัดมาบรรยากาศยังคงเงียบสงบ เราออกจากที่พักตั้งแต่เวลา 05.30 น. พร้อมกับสวมใส่ชุดมอญ ในขณะที่ฟ้ายังคงมืดสนิท อากาศเย็นสบายสดชื่น เมื่อมาถึงบริเวณ สะพานมอญ หรือ สะพานอุตตมานุสรณ์ สัญลักษณ์อันโดดเด่นของสังขละบุรี ซึ่งตั้งอยู่ในซอยสะพานไม้ ก็พบกับความคึกคักที่กำลังค่อย ๆ เริ่มต้นขึ้นยามเช้าของผู้คนในชุมชนได้เริ่มต้นแล้ว ชาวบ้านทยอยเปิดร้านขายของเล็ก ๆ ทั้งของพื้นบ้าน เสื้อผ้า อาหาร  บ้างเตรียมชุดสำหรับใส่บาตรมาเรียงรายให้นักท่องเที่ยวเลือกซื้อ สีสันของผ้าถุงและเสื้อพื้นเมืองสดใสหรือบริการปะแป้งทานาคาก็พร้อมให้บริการนักท่องเที่ยวอย่างกันเอง

ชัยพล สุขเอี่ยม อธิบดีกรมการศาสนา ร่วมถ่ายภาพกับเด็กๆ

เดินชมวิถีชีวิตของชาวสังขละไปเพลินๆ พร้อมกับบรรยากาศเสียงพูดคุยเป็นภาษามอญที่แว่วมาเป็นระยะ ทุกอย่างดำเนินไปอย่างช้า ๆ ผู้คนต่างทักทายยิ้มแย้ม บ้างก็เชิญชวนให้ชมสินค้า จนมาถึงร้านอาหารมอญ โดยช่วงเช้าจะขายโจ๊กให้ได้กินรองท้องอุ่น พอได้ลองลิ้มรสแล้ว นอกจากข้าวที่จะเนื้อเนียนละมุน หมูสับที่ใส่มาด้วยยังให้รสชาติของการปรุงรสที่เข้มข้น จนไม่ต้องใส่ซีอิ๊วเพิ่มเลย อีกเมนูที่ไม่ควรพลาดคือ ปาท่องโก๋ ตัวใหญ่ทอดได้กรอบนอกนุ่มในมากๆ

โบสถ์ใต้น้ำ ซากความงดงามวัดแห่งแรกของสังขละ

มาถึงเวลาราวๆ 06.30 น. ถนนที่เต็มไปด้วยผู้คนเดินขวักไขว่ ถูกจัดระเบียบอย่างเรียบร้อยเพื่อเตรียมต้อนรับ พระสงฆ์จากวัดวังก์วิเวการาม ที่จะเดินเท้ามาบิณฑบาตรตลอดเส้นทาง ภาพของผู้คนในชุดพื้นเมืองค่อย ๆ วางอาหารใส่บาตรท่ามกลางบรรยากาศอันสงบ เป็นภาพที่เรียบง่ายแต่แฝงไปด้วยความงดงามและความศรัทธา ซึ่งสามารถพบเห็นได้ในทุกเช้าของที่นี่

รอระฆัง ที่จมอยู่ใต้น้ำ

ใส่บาตรเสร็จเราเดินเล่นต่อที่ สะพานมอญ  ซึ่งถือเป็นไฮไลท์สำคัญของสังขละบุรี สะพานไม้แห่งนี้มีความยาวถึง 850 เมตร จึงถือว่ายาวที่สุดในประเทศไทย และยาวเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากสะพานไม้อูเบ็งในประเทศพม่า สร้างขึ้นโดยหลวงพ่ออุตตมะ อดีตเจ้าอาวาสวัดวังก์วิเวการาม เพื่อเชื่อมโยงผู้คนจากสามเชื้อชาติหลักในพื้นที่ ได้แก่ ชาวไทย ชาวกะเหรี่ยง และชาวมอญ ให้สามารถสัญจรไปมาหาสู่กันได้อย่างสะดวก เส้นทางไม้ที่ทอดยาวข้ามแม่น้ำซองกาเลียแห่งนี้จึงไม่ใช่เพียงแค่สะพาน แต่ยังเป็นสัญลักษณ์แห่งความผูกพันและความสามัคคีของผู้คนในชุมชนอีกด้วย

เจดีย์พุทธคยา จากมุมมองระยะไกล

หลังจากนั้นมาเดินเล่นที่สะพานมอญ ชมพระอาทิตย์ขึ้นท่ามกลางแม่น้ำ ที่นี่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาและรอยยิ้มของ เด็ก ๆ ชาวมอญในชุดพื้นเมืองสีสันสดใส ใบหน้าทาด้วย ทานาคา ตามวิถีดั้งเดิม ดูน่ารักและมีเสน่ห์แบบท้องถิ่น สิ่งที่สะดุดตาคือ หม้อสแตนเลสประดับดอกไม้สีสด ที่เด็ก ๆ เทินไว้บนศีรษะ บางคนเรียงซ้อนกันสูงถึง 5-8 ชั้น แสดงถึงความแข็งแรงและความสมดุลที่น่าทึ่ง พวกเขาเดินอย่างมั่นคงบนสะพานไม้ พร้อมรอยยิ้มและท่าทางร่าเริงเชิญชวนนักท่องเที่ยวถ่ายรูปเป็นที่ระลึก นักท่องเที่ยวมักมอบสินน้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้เด็ก ๆ เหล่านี้ เป็นรางวัลสำหรับความขยันและความตั้งใจ เพราะพวกเขาต้องตื่นแต่เช้า แต่งตัวและเทินหม้อบนศีรษะตั้งแต่รุ่งสาง สร้างสีสันและความทรงจำที่น่าประทับใจบนสะพานแห่งนี้

 โบสถ์  วัดสมเด็จ (เก่า) ท่ามกลางผืนป่าบนเขา

ไปต่อที่วัดวังก์วิเวการาม ถือเป็นศูนย์รวมจิตใจและศรัทธาของชาวสังขละบุรี สร้างขึ้นโดย หลวงพ่ออุตตมะ พระเกจิชื่อดังเชื้อสายมอญ ผู้รวบรวมชาวกะเหรี่ยง มอญ และคนไทยในพื้นที่ช่วยกันสร้าง ปัจจุบันแม้หลวงพ่ออุตตมะจะละสังขารไปแล้ว แต่ สังขารของท่านยังคงถูกเก็บรักษาไว้ในปราสาทไม้สไตล์มอญ ให้ผู้คนได้กราบสักการะ สังเกตได้จาก หงส์ทองคู่ ที่ประดับบนยอดปราสาทซึ่งเป็นสัญลักษณ์สำคัญ ภายในวัดยังมี วิหารพระพุทธรูปหินอ่อน ประดิษฐาน พระพุทธรูปปางมารวิชัย หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า หลวงพ่อขาว หรือ หลวงพ่อหยกขาว อันงดงาม

พระพุทธชินราชจำลอง ภายในโบสถ์ วัดสมเด็จ (เก่า)

อีกหนึ่งกิจกรรมที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาเยือนสังขละบุรีคือ การล่องแพชมวัดใต้น้ำ ท่ามกลางธรรมชาติ และขุนเขาที่โอบล้อมผืนน้ำ มาถึงจุดหมายเราจะมองเห็น หอระฆังและซากโบสถ์เก่า ที่ยังหลงเหลืออยู่ โครงสร้างและ ประติมากรรมรอบโบสถ์ ยังคงแสดงให้เห็นถึงความงดงามในอดีต วัดแห่งนี้คือวัดเก่าที่สร้างขึ้นโดย หลวงพ่ออุตตมะ ก่อนจะเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมจากการสร้างเขื่อนเขาแหลม ทำให้ต้องย้ายวัดไปยังที่ตั้งปัจจุบัน คือวัดวังก์วิเวการาม แม้เวลาจะผ่านไป แต่ซากโบสถ์ใต้น้ำแห่งนี้ยังคงเป็นเสน่ห์ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาสัมผัสเรื่องราวและความงดงาม

ปราสาทประดิษฐานร่างหลวงพ่ออุตตมะ

จากจุดนี้เรายังสามารถมองเห็น  เจดีย์พุทธคยา แลดูโดดเด่นสะดุดตา เจดีย์แห่งนี้สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2521 โดย หลวงพ่ออุตตมะ ซึ่งได้จำลองแบบมาจาก เจดีย์พุทธคยา ประเทศอินเดีย เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งพุทธศาสนาและศูนย์รวมศรัทธาของผู้คนในพื้นที่ แพได้ล่องไปเทียบท่าที่ วัดสมเด็จ (เก่า) วัดไทยที่สร้างโดย พระครูวิมลกาญจนคุณ แม้ครั้งหนึ่งจะถูกปล่อยทิ้งร้างจน โบสถ์ถูกปกคลุมด้วยรากไทรและต้นโพธิ์ แต่ปัจจุบันได้รับการบูรณะและดูแลอย่างดีโดยชาวบ้าน ภายในโบสถ์ประดิษฐาน พระพุทธชินราชจำลอง เป็นพระประธานให้ผู้คนได้สักการะ วัดแห่งนี้รอดพ้นจากการจมน้ำ เนื่องจากตั้งอยู่บนเนินเขาเล็ก ๆ โดยนักท่องเที่ยวต้องเดินขึ้นบันไดเล็กน้อยเพื่อไปยังตัววัด พร้อมชมทัศนียภาพโดยรอบที่สวยงาม

ศาลาอันงดงามรูปแบบศิลปะแบบมอญ วัดวังก์วิเวการาม

จุดหมายสุดท้ายมา สักการะพระพุทธรูปองค์ใหญ่ บนยอดเขาของวัดวังก์วิเวการาม แม้จะอยู่ระหว่างการก่อสร้าง แต่ด้านบนสามารถชม ทิวทัศน์แม่น้ำสามประสบและเมืองสังขละบุรี ได้อย่างสวยงามและประทับใจ สังขละบุรี เป็นอีกเมืองที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ ความสงบ เรียบง่าย ผู้คนใจดีและเป็นมิตร มีวัฒนธรรม และวิถีชีวิตที่น่าสนใจ ล้วนทำให้ที่นี่ควรค่าแก่การมาเยือนสักครั้ง.

 พระพุทธรูปองค์ใหญ่ ขณะดำเนินการก่อสร้าง
วิวจากยอดเขาที่ประดิษฐานพระพุทธรูปองค์ใหญ่
หลวงพ่อขาว อันงดงาม
ทิวทัศน์ธรรมชาติ สายน้ำ และขุขเขาระหว่างล่องแพ
© Copyright @2025 LIDEA. All Rights Reserved.